วันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

สาระพัดประโยชน์จากเกลือ


สาระพัดประโยชน์จากเกลือ....จากแม่บ้าน

เราคงจะคุ้นเคยกับ ”เกลือ” เม็ดเล็กๆ สีขาว ที่นำมาปรุงอาหาร เพื่อให้มีรสเค็ม แต่รู้ไหมคะว่าเกลือมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด วันนี้แอดมินมี 6 เคล็ดลับจากเกลือมาฝากค่ะ...

1. ป้องกันผลไม้เปลี่ยนสี
หลายครั้งที่ปอกเปลือกแอปเปิลหรือสาลี่ทิ้งไว้ สักพักผลไม้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ดูไม่น่ารับประทาน แต่ถ้านำผลไม้ที่ปอกเปลือกไปแช่ในน้ำเย็นที่ผสมเกลือเล็กน้อย แล้วทิ้งไว้สักครู่ เนื้อผลไม้ก็จะไม่เปลี่ยนสีแล้ว

2. เกลือช่วยดับไฟได้
การดับไฟด้วยน้ำอาจจะไม่ปลอดภัยสำหรับเตาถ่านที่ใช้ปิ้งบาร์บีคิว แต่เพียงโรยเกลือบริเวณเตาถ่านปิ้งบาร์บีคิว ไฟก็จะดับลงแล้ว เพราะเกลือจะช่วยลดออกซิเจนในอากาศที่อยู่บริเวณรอบๆ จนไฟดับ

3. ฟองน้ำคืนชีพ
เพื่อนๆ แน่ใจแล้วเหรอว่า ฟองน้ำที่ใช้ล้างจานและล้างแก้ว เพียงแค่ล้างน้ำสะอาดแล้ววางไว้ในที่แห้ง ฟองน้ำจะสะอาดแล้ว งั้นมาลองทำความสะอาดด้วยการจุ่มฟองน้ำที่ล้างสะอาดแล้วลงในน้ำเกลือ แล้วแช่ทิ้งไว้ข้ามคืน ฟองน้ำก็จะฟูและสะอาดขึ้น

4. ป้องกันเชื้อราในชีส
ถ้าทิ้งชีสไว้นานอาจจะมีเชื้อรามากัดกินได้ ให้ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลือ แล้วนำมาห่อชีสให้มิด ความเค็มของเกลือจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อราเจริญเติบโตได้

5. ทำให้อาหารสุกเร็วขึ้น
เกลือสามารถช่วยให้อุณหภูมิของน้ำเดือดเพิ่มขึ้นได้ เช่น ถ้าลวกไข่ 1 ฟอง แล้วใส่เกลือลงไปด้วย จะทำให้ไข่สุกเร็วขึ้น และทำให้อาหารอื่นๆ สุกเร็วขึ้นได้ด้วย

6. แก้ปัญหากลิ่นท่อน้ำ
ท่อน้ำบ้านของเพื่อนๆ อาจมีกลิ่นเหม็นออกมารบกวน ทางที่ดีก็ให้นำเกลือผสมกับน้ำเปล่าแล้ว เทลงไปในท่อ น้ำเกลือจะช่วยชำระล้างคราบสกปรกที่เกาะติดอยู่ในท่อน้ำทิ้ง ปัญหาเหล่านั้นก็จะหมดไปได้

.......โดย แม่บ้าน

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2557

น้ำผึ้งผสมอบเชย ยาตำหรับอายุรเวชโบราณที่มีคุณประโยชน์




น้ำผึ้งผสมอบเชย ยาตำหรับอายุรเวชโบราณที่มีคุณประโยชน์
ต่อมนุษยชาติ

น้ำผึ้งเป็นอาหารเพียงชนิดเดียวในโลกนี้ที่ไม่เสียหรือบูดเน่า แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ในที่มืดนานๆมันจะตกผลึก ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ให้นำขวดน้ำผึ้งแช่ในน้ำร้อน ปล่อยให้ค่อยๆเย็นลงจนกลายเป็นของเหลว มันก็จะกลับคืนสู้สภาพเดิม แต่อย่านำเข้าตู้ไมโครเวฟเด็ดขาด เพราะจะทำลายเอ็นไซม์ในน้ำผึ้ง

กล่าวได้ว่าบริษัทยาทั้งหลายไม่ชอบใจแน่ๆ เพราะการค้นพบข้อเท็จจริงของส่วนผสมน้ำผึ้งกับอบเชย สามารถรักษาโรคได้เป็นส่วนมาก น้ำผึ้งสามารถผลิตได้ทั่วโลก และในละแวกบ้านของเราเอง นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังยอมรับว่าเป็น “Ram Ban” (มีประสิทธิผลมาก)ในการรักษาโรคนานาชนิด น้ำผึ้งสามารถใช้ได้โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

ปัจจุบันวิทยาศาสตร์กล่าวว่าแม้น้ำผึ้งจะมีรสหวาน ถ้ารับประทานในปริมาณที่เหมาะสมก็จะเป็นยาชนิดหนึ่ง ไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ป่วยเบาหวาน หนังสือ World Weekly News ของแคนนาดา ประจำวันที่ 17 มกราคม 1995 ได้บอกถึงสรรพคุณของน้ำผึ้งกับอบเชยว่ารักษาโรคใดได้บ้าง ซึ่งเป็นผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกดังนี้ :

1. โรคหัวใจ (Heart Diseases)

เอาน้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยแล้วป้ายขนมปังแทนเยลลีและแยม ทานเป็นประจำเป็นอาหารเช้าจะช่วยลดคอเรสเตอรัลในเส้นเลือดและช่วยลดอาการหัวใจวาย สำหรับผู้ที่เป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ถ้ารับประทานตามที่แนะนำมานี้เป็นประจำ ก็จะทำให้อาการเจ็บกล้ามเนื้อหัวใจทุเลา ถ้าคนปกติรับประทานเป็นประจำดังกล่าวมาก็จะทำให้ระบบหายใจดีขึ้น การเต้นหัวใจแข็งแรงขึ้น ในสหรัฐอเมริกาและแคนนาดาสถานดูแลผู้ป่วยหลายแห่งใช้วิธีนี้บำบัดคนไข้ผลดี และค้นพบต่อไปอีกว่า เมื่อคนเราอายุมากขึ้น เส้นโลหิตแดงและโลหิตดำขาดความยืดหยุ่นและอุดตันได้ง่าย น้ำผึ้งกับอบเชยสามารถฟื้นฟูเส้นโลหิตทั้งสองชนิดได้

2. โรคปวดข้อปวดกระดูก (Arthritis)

ผู้ป่วยโรคปวดข้อปวดกระดูกอาจจะรับประทานเป็นประจำโดย ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนกับผงอบเชย 1 ช้อนชาในน้ำร้อนขนาดถ้วย กาแฟทุกเช้าและเย็น ก็จะทำให้อาการปวดทรมานหายได้ จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน พบว่าหมอให้คนไข้รับประทานน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชยขนาด ครึ่งช้อนชาก่อนอาหารเช้า พบว่าในเวลา 1 สัปดาห์คนไข้จำนวน 73 คนจากจำนวนทั้งหมด 200 คนที่เข้าร่วมโครงการทดลองมีอาการปวดลดลง เมื่อทดลองต่อไปจนครบ 1 เดือนปรากฏว่าคนไข้ส่วนใหญ่ที่เดินไม่ได้สามารถเดินได้เองโดยไม่มีอาการปวดแต่อย่างใด

3. โรคกระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ (Bladder Infections)
ให้ใช้ผงอบเชย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาชงในน้ำอุ่น 1 แก้วแล้วดื่ม มันจะไปฆ่าเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ

4. โคเลสเตอรอล (Cholesterol)

ชงน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย 3 ช้อนชาในน้ำชาขนาด 16 ออนซ์ให้คนไข้ที่มีระดับคลอเลสเตอรอลสูงดื่ม ปรากฏว่าภายในเวลา 2 ชั่วโมงระดับคลอเลสเตอรอลลดลง 10 เปอร์เซ็นต์ ดังที่ได้กล่าวถึงคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคปวดข้อ ถ้าให้คนไข้ดื่มวันละ 3 เวลาก็คลอเลสเตอรอลจะหายเป็นปกติได้ ตามข้อมูลที่อ่านจากนิตยสารนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้งบริสุทธิ์พร้อมอาหารเป็นประจำทุกวันช่วยลดคลอเลสเตอรอลได้

5. ไข้หวัด(Colds)

สำหรับผู้ที่มีอาการทรมานจากไข้หวัดหวัดทั่วไปหรือไข้หนักควรชงน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย ¼ ช้อนทุกวันเป็นเวลา 3วันก็จะช่วยลดอาการไอรุนแรงและจมูกโล่ง

6. อาการท้องอืด( Upset Stomach)

ให้รับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยจะช่วยให้อาการท้องอืดทุเลา และยังช่วยลดอาการแผลในกระเพราะอาหารได้ด้วย

7. ลมในกระเพราะ (Gas)

ผลการศึกษาในอินเดียและญี่ปุ่นพบว่า ถ้ารับประทานน้ำผึ้งกับผงอบเชยจะช่วยลดลมภายในกระเพราะอาหารลงได้

8. ระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย( Immune System)

การรับประทานน้ำผึ้งผสมผงอบเชยประจำวันจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันร่างกายให้เข้มแข็ง ช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นักวิทยาศาสตร์พบว่าในน้ำผึ้งมีวิตามินหลายชนิดและธาตุเหล็กเป็นจำนวนมาก การรับประทานน้ำผึ้งประจำยังเพิ่มเม็ดเลือดขาว เพื่อต่อต้านเชื้อแบคทีเรียและไวรัสได้

9. อาหารไม่ย่อย(Indigestion)

โรยผงอบเชยลงบนน้ำผึ้งขนาด 2 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารและช่วยให้การย่อยอาหารมื้อหนักได้ดี

10. ไข้หวัดใหญ่( Influenza)

นักวิทยาศาสตร์สเปนได้พิสูจน์น้ำผึ้งประกอบด้วยสารอาหารธรรมชาติที่ทำลายเชื้อไข้หวัดใหญ่และช่วยให้ผู้ป่วยให้ปลอดภัยจากไข้หวัดใหญ่

11. ยาอายุวัฒนะ(Longevity)

การดื่มชาที่ผสมน้ำผึ้งกับผงอบเชยเป็นประจำช่วยชะลอความชรา วิธีการทำคือ ใช้น้ำผึ้ง 4 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อน น้ำเปล่า 3 ถ้วย แล้วน้าไปต้มเหมือนชา ให้ดื่ม ¼ ถ้วยวันละ 3-4 เวลา จะช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง นุ่มมีน้ำมีนวล ช่วยทำให้อายุยืน อาจถึง 100 ปีให้เริ่มต้นตั้งแต่อายุราว 20 ปี

12. แก้สิว (Pimple)

ผสมน้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะกับผงอบเชย 1 ช้อนชาให้เข้ากัน แล้วป้ายบนหัวสิวก่อนนอนและล้างออกในวันรุ่งขึ้นด้วยน้ำอุ่น ถ้าปฏิบัติติดต่อกัน 2 สัปดาห์ก็จะสามารถกำจัดหัวสิวได้

13. ผิวหนังติดเชื้อ(Skin Infections)

ใช้น้ำผึ้งผสมกับผงอบเชยปริมาณเท่าๆกันทาบริเวณที่ติดเชื้อ จะช่วยรักษาเรื้อนกวาง (eczema) กลากและโรคผิวหนังชนิดต่างๆได้

14. ลดน้ำหนัก (Weight Loss)

ดื่มน้ำผึ้งผสมผงอบเชยในน้ำร้อน ทุกๆเช้าก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง ขณะท้องว่าง และก่อนนอนทุกคืน ถ้าทำเป็นประจำจะช่วยลดน้ำหนักแม้คนที่อ้วนมากๆ เช่นเดียวกัน ถ้าดื่มเครื่องดื่มที่กล่าวมานี้จะช่วยไม่ให้ไขมันสะสมในร่างกายแม้กระทั่งในคนที่รับประทานอาหารทีมีพลังงานสูง

15. โรคมะเร็ง(Cancer)

ผลการวิจัยในญี่ปุ่นและออสเตรเลียเมื่อไม่นานมานี้พบว่า ผู้ทีเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหารและมะเร็งกระดูกในขั้นมากๆแล้วสามารถรักษาได้สำเร็จ ผู้ป่วยที่ได้รับความทรมานจากมะเร็งดังกล่าวควรดื่มน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมผงอบเชย 1 ช้อนชาเป็นประจำ 3 เวลาประมาณ 1 เดือน

16. แก้อาการอ่อนเพลีย(Fatigue)

ผลการศึกษาเมื่อเร็วๆนี้แสดงให้เห็นว่าน้ำตาลในน้ำผึ้งมีประโยชน์มากในการเพิ่มพลังให้แก่ร่างกาย ในผู้สูงวัยทีรับประทานน้าผึ้งกับผงอบเชยในปริมาณเท่าๆกัน ช่วยให้กระปลี้กระเปล่าและมีร่างกายที่ยืดหยุ่น ดร. มิลตันที่ศึกษาเรื่องนี้กล่าวว่า การดื่มน้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะในแก้วหนึ่งแก้วโรยด้วยผงอบเชยเป็นประจำหลังแปรงฟันและตอนบ่ายราวๆ 15.00น.เมื่อร่างกายเริ่มล้า จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงมีชีวิตชีวาใน 1 สัปดาห์

17. ขจัดลมหายใจมีกลิ่น (Bad Breath)

ชาวอเมริกาใต้ ตื่นนอนตอนเช้า สิ่งที่เขาทำอันดับแรกคือ กลั้วคอด้วยส่วนผสมของน้ำผึ้ง 1 ช้อนชากับผงอบเชยในน้ำร้อน เพื่อให้ลมหายใจสดชื่นตลอดวัน

18. ช่วยการได้ยิน (Hearing Loss)

การรับประทานน้ำผึ้งและผงอบเชยผสมกันในปริมาณเท่าๆกันเป็นประจำทุกเช้าและก่อนนอนจะช่วยให้การได้ยินกลับมาเหมือนเดิม จำได้ไหมเมื่อครั้งเป็นเด็ก? เรากินขนมปังทาเนยโรยด้วยผงอบเชย

19. ผมบาง ผมร่วง (hair loss or baldness)

ก่อนอาบน้ำ ใช้น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ผงอบเชย 1 ช้อนชาผสมลงในน้ำมันมะกอกร้อนเล็กน้อยคนจนเป็นครีม ทาลงบนหนังศรีษะให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออก จะเห็นผลภายใน 1เดือน

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :
Uthaiwan Kanchanakamol@facebook.com

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เปลือกมังคุด รักษาแผล คนที่เป็นโรคเบาหวานได้



เปลือกมังคุด รักษาแผล คนที่เป็นโรคเบาหวานได้
เอาเปลือกมังคุดไปต้มกับน้ำเปล่า ทิ้งไว้พออุ่นเอาบริเวณที่เป็นแผล แช่ในน้ำต้มเปลือกมังคุด จะช่วยให้แผลคนที่เป็นโรคเบาหวานหายเร็วขึ้นครับ อาจจะไม่ต้องตัดทิ้ง ก็ได้นะครับ

วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หน้าท้องลดลงค่ะ การขับถ่ายดีขึ้น ท้องไม่ผูกค่ะ


สูตรดีทอกซ์ลำไส้ก็ไม่ลงค่ะ เม็ดแมงลัก ก็ไม่ลง บุก พริกไทย...ดำ ส้มแขก ส้มป่อย สารพัดค่ะ ไม่ลดค่ะ แต่อันนี้ได้ผลค่ะ หน้าท้องลดลงค่ะ การขับถ่ายดีขึ้น ท้องไม่ผูกค่ะ ลองทำดูนะคะ
เลมอน 3 ลูก น้ำผึ้ง 500 ml เกลือ2 ช้อนโต๊ะ 
วิธีทำก็คือ
1 นำเกลือมาถูกับผิวมะนาวประมาณ5 นาทีค่ะ แล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำแล้วักทิ้งไว้ให้ผิวมะนาวแห้ง
2 หั่นเป็นแว่นๆค่ะ แล้วนำไปเรียงไว้ในขวดแก้ว แล้วก็นำน้ำผึ้งเทลงไปให้ท่วมมะนาว เสร็จแล้วปิดฝาให้สนิทค่ะ
3 นำไปแช่ตู้เย็นเป็นเวลา3วัน แล้วนำมาชงดื่มค่ะ
วิธีการชง มีดังนี้ค่ะ
ตักมะนาวที่เป็นแว่นๆมา1ชิ้น และตักน้ำผึ้งที่หมักไว้1 ช้อนโต๊ะแล้วผสมกับน้ำเย็น ทานก่อนอาหารเช้า สักประมาณ 10นาที ค่ะ
ความรู้สึกที่ดื่มไปประมาณ1 อาทิตย์ โดยที่ไม่ได้ออกกำลังกาย คือ ระบบขับถ่ายดีขึ้นค่ะ หน้าท้องยุบลง ซึ่งตอนออกกำลังกายหน้าท้องจะไม่ค่อยลด น้ำหนักตัวจะลงมากกว่า แต่ทานเลมอนน้ำผึ้งไป รู้สึกได้ว่าหน้าท้องยุบลงไปจริงๆค่ะ แต่ยังไม่ได้ชั่งน้ำหนักดูว่า ลดลงไปหรือเปล่า ลองทำดูกันนะคะ
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก ครัว ลลิดา Lalida Sun

วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เส้นเอ็นร้อยหวาย อักเสบ / กลุ่มอาการปวดบริเวณ ส้นเท้า


                                                            เส้นเอ็นร้อยหวาย อักเสบ



เส้นเอ็นร้อยหวาย อักเสบ / กลุ่มอาการปวดบริเวณ ส้นเท้า

กลุ่มอาการปวดบริเวณส้นเท้า

กลุ่มอาการปวดบริเวณส้นเท้า ประกอบด้วย โรคหลาย ๆ โรค ที่ทำให้เกิดลักษณะอาการที่คล้ายคลึงกัน เช่น

เอ็นร้อยหวายอักเสบ

ถุงน้ำกระดูกส้นเท้าอักเสบ หรือ ถุงน้ำเส้นเอ็นร้อยหวายอักเสบ

กระดูกเท้าบิดผิดรูป

โรครูมาตอยด์

โรคเก๊าท์ หรือ

กระดูกหัก เป็นต้น

ซึ่งในบางครั้งอาจพบหลายโรคพร้อม ๆ กันก็ได้

อาการและอาการแสดง

มีอาการเจ็บบริเวณด้านหลังของส้นเท้า หรือ ด้านหลังข้อเท้า ซึ่งจะมีอาการมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวข้อเท้า เช่น เดินขึ้นลงบันได หรือ วิ่ง เป็นต้น

บางรายพบว่าการกดทับจาก ขอบด้านหลังของรองเท้า เวลาใส่รองเท้าทำให้เกิดอาการมากขึ้น ในผู้ที่เป็นมานาน บริเวณส้นเท้าอาจบวมหรือเป็นก้อนโตขึ้นได้

ตำแหน่งที่เจ็บอาจจะอยู่ที่ เส้นเอ็นร้อยหวาย หรือ ด้านหลังต่อเส้นเอ็นร้อยหวายก็ได้ เมื่อกระดกข้อเท้าขึ้น จะมีอาการเจ็บมากขึ้น แต่เมื่อเหยียดข้อเท้าลง อาการก็จะดีขึ้น อาจคลำก้อนถุงน้ำ หรือ กระดูกงอกได้

การถ่ายภาพรังสีด้านข้างของกระดูกข้อเท้าและส้นเท้า มักจะปกติ อาจพบมีกระดูกงอกได้ในผู้ป่วยบางราย ซึ่งในคนปกติ ที่ไม่มีอาการปวดส้นเท้า ก็อาจพบกระดูกงอกได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องถ่ายภาพรังสีในผู้ป่วยทุกคน

แนวทางการรักษา

การรักษาโดย ไม่ผ่าตัด

ส่วนใหญ่แล้วการรักษาโดย ไม่ผ่าตัด จะได้ผลดี ซึ่งประกอบด้วย

1. ลดกิจกรรมที่ทำให้ปวด หรือ กิจกรรมที่ต้องลงน้ำหนัก เช่น การยืนหรือเดินนาน ๆ เป็นต้น และ ควรออกกำลังชนิดที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนัก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน

2. บริหารเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง และ เส้นเอ็นร้อยหวาย

3. ใช้ผ้าพันที่ข้อเท้า ใส่เฝือกชั่วคราวในตอนกลางคืน หรือใส่เฝือกตลอดเวลา เพื่อลดการเคลื่อนไหวของข้อเท้า

4. ใส่รองเท้าที่เหมาะสม เช่น ขนาดกระชับพอดีไม่หลวมเกินไป ส้นสูงประมาณ 1–1.5 นิ้ว มีขอบด้านหลังที่นุ่ม หรือใช้แผ่นรองส้นเท้ารูปตัวยู ( U ) ติดที่บริเวณขอบรองเท้าด้านหลัง เพื่อไม่ให้ขอบของรองเท้ามากดบริเวณที่เจ็บ

5. หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่า

6. รับประทานยาแก้ปวด เช่น พาราเซ็ตตามอล ยาแก้ปวดลดการอักเสบ ประคบด้วยความร้อน หรือใช้ยานวด

7. ฉีดยาสเตียรอยด์ บริเวณที่มีการอักเสบ ทุก 1-2 อาทิตย์ แต่ ไม่ควรฉีดเกิน 2 ครั้งใน 1 เดือน ถ้าไม่จำเป็นก็ ไม่ควรฉีด เพราะอาจเกิดผลแทรกซ้อนได้ เช่น เส้นเอ็นร้อยหวายขาด ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเปลี่ยนเป็นสีขาว เป็นต้น

การรักษาโดยการผ่าตัด

ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด

1. ผู้ป่วยที่ตอบสนองต่อการรักษาดี แต่กลับเป็นซ้ำบ่อย ๆ ไม่หายขาดทำให้มีปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน

2. ในรายที่ตอบสนองต่อการรักษาไม่ดี โดยเฉพาะรายที่มีสาเหตุชัดเจน เช่น ฝ่าเท้าบิดเข้าหรือบิดออก เป็นต้น

วิธีผ่าตัด เช่น ผ่าตัดเพื่อเอาถุงน้ำ เนื้อเยื่อที่อักเสบ และ กระดูกงอก ออก หรือ ผ่าตัดเปลี่ยนแนวกระดูก เป็นต้น

ผลข้างเคียงที่อาจพบได้ เช่น แผลเป็นนูนทำให้ปวดแผลเรื้อรัง เส้นเอ็นร้อยหวายขาด เป็นต้น

อาหารที่แนะนำที่สามารถช่วยบำรุงเส้นเอ็นโดยเฉพาะคือ ข้าวกล้อง เม็ดบัว ลูกเดือย และเมล็ดทานตะวัน

วันอังคารที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

บอระเพ็ด สุดยอดยาอายุวัฒนะ



                                                  บอระเพ็ด สุดยอดยาอายุวัฒนะ

สมุนไพรไทยของเรามีอยู่หลายชนิด วันนี้เรามีสมุนไพรชนิดหนึ่งมาแนะนำ เป็นสมุนไพรที่แค่ได้ยินชื่อหลายคนอาจเข็ดขยาดกับความขมของมัน พืชชนิดนั้นคือ บอระเพ็ดนั่นเองครับ แต่ภายในความขมของบอระเพ็ดนั้น แฝงด้วยสรรพคุณหลายๆอย่างโดยเฉพาะสรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย ถ้าไม่เชื่อมาลองดูกัน

บอระเพ็ดชื่อวิทยาศาสตร์ Tinospora crispa (L.)Miers ex Hook.f.& Thomson ชื่อยาวมาก ไว้วันหลังจะพูดถึงหลักการตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ของพืชสมุนไพรไพรไทย
และพืชอื่นๆให้ฟังนะครับ)
เป็นพืชวงศ์ Menispermaceae
ชื่ออื่นๆตามภูมิภาค เถาหัวด้วน (ภาคกลางแถวสระบุรี) หางหนู จุ่มจะลิง (ภาคเหนือ) เจตมูลหนาม(ภาคอิสาน หนองคาย) เครือกอฮอร์ (ภาคอิสาน อุดรธานี)

ลักษณะทั่วไปของบอระเพ็ด
เป็นไม้เถาเลื้อย เถาค่อนข้างกลมขนาดของเถาเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1-2 เซนติเมตร โดยจะมีปุ่มรอบๆเถาสีดำ รสขมมาก(มากแบบมากจริงๆนะครับ) ใบของบอระเพ็ดเป็นรูปหัวใจ ปลูกง่ายตามข้างรั้ว หรือเลื้อยพันกับต้นไม้ใหญ่

สรรพคุณทางด้านสมุนไพรไทย
ราก ถอนพิษไข้
ต้น ลดไข้เช่นเดียวกับราก บำรุงธาตุ ช่วยเจริญอาหาร ปรับสมดุลในร่างกาย นอกจากนี้ตามตำราสมุนไพรไทยกล่าวว่า สามารถช่วย บำรุงกำลัง และยังเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย

วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาอายุวัฒนา
เนื่องจากว่าส่วนต้นของบอระเพ็ด มีความขมมาก จะรับประทานสดสด คงไม่ไหม ต้องมีวิธีปรุงยาสมุนไพรไทยก่อน ขอแนะนำสามวิธีดังนี้
1. ใช้เถาบอระเพ็ดหั่นแล้วตากแห้ง จากนั้นบดเป็นผงผสมน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละ 3-5 เม็ด
2. สำหรับคนที่ไม่แพ้แอลกลอฮอร์ ใช้เถาสดดองเหล้า โดยจะใช้บอระเพ็ดสดประมาณ 2 ขีดหั่นเป็นข้อใส่ในโถเหล้า ส่วนการดื่มให้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชาก่อนอาหารเย็น
3. วิธีนี้ง่ายที่สุด คือนำบอระเพ็ดตากแห้ง แล้วนำมาบดใส่แคปซูล ทานวันละ 2-3 แคปซูลโดยทานก่อนอาหารเช้า เย็น (อาจทานเช้าเย็น มื้อละแคปซูล หรือเช้า 1 เย็น 2 ก็ได้)

วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาบรรเทาไข้ ลดความร้อน

ใช้เถาแก่สด หรือต้นสด ประมาณ 15-20 เซนติเมตร (30-40 กรัม) ตำให้แหลกและคั้นเอาน้ำดื่ม (อย่าลืมใส่ถุงมือตอนคั้นนะครับ ขมติดมือไม่รู้ด้วย )หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ
ใช้เถาสด ดองเหล้าโรง แนะนำ 20 ดีกรีก็พอ รับประทานเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของบอระเพ็ด ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดเอง อาจเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ก็อาจเป็นได้

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของบอระเพ็ด ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดเอง อาจเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ก็อาจเป็นได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก http:ไทยสมุนไพร.net

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

บอระเพ็ด สรรพคุณของบอระเพ็ด และสารพัดประโยชน์ของบอระเพ็ด สมุนไพรไทย !

บอระเพ็ด ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถาเลื้อยพาดพันต้นไม้อื่น เถากลมมีขนาดใหญ่เป็นปุ่มปม สีเทาอมดำ มีรสขม เปลือกลอกออกได้ ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ รูปหัวใจ ขอบใบเรียบ แผ่นใบเรียบ สีเขียว ก้านใบยาว 8-10 ซม. ดอก ออกตามซอกใบ ดอกแยกเพศอยู่คนละช่อ ดอกสีเขียวอมเหลือง มีขนาดเล็กมาก ผล รูปทรงค่อนข้างกลม สีเหลืองหรือสีแดง

ส่วนที่ใช้ : ราก ต้น ใบ ดอก ผล ส่วนทั้ง 5 เถาสด

ลักษณะทั่วไป

ลำต้น : เป็นพันธุ์ไม้เถาเลื้อยเอนอ่อน เมื่ออายุมากเนื้อของลำต้นอาจแข็งได้ เถากลมโตขนาดนิ้วมือ ประมาณ 1-1.5 ซม. เถาอ่อนผิวเรียบสีเขียว เถาแก่สีน้ำตาลอมเขียว ผิว ขรุขระ มีปุ่มปมกระจายทั่วไป ขึ้นเกาะต้นไม้อื่น มักจะมีรากอากาศคล้ายเชือกเส้นเล็กๆ ห้อยลงมาเป็นสาย ใบเดี่ยวเป็นแบบสลับ ใบเป็นรูปหัวใจ ปลายใบแหลม ยางมีรสขมจัด ดอกออกเป็นช่อ ขนาดเล็กมากมีสีเหลืองอมเขียว ผลเป็นรูปไข่สีเหลืองหรือส้ม

ใบ : เป็นใบเดี่ยว รูปใบพลูหรือรูปหัวใจ โคนใบหยักเว้า มีเส้นใบ 5-7 เส้นที่เกิดจากจุดโคนใบ

ดอก : ออกดอกเป็นช่อตามกิ่งแก่ตรง บริเวณซอกใบหรือปลายกิ่ง ดอกขนาดเล็กสีเหลืองอมเขียว, แดงอมชมพู, เขียวอ่อน, เหลืองอ่อน ช่อดอก ยาว 5-20 เซนติเมตร ประกอบด้วยกลีบดอก กลีบเลี้ยงอย่างละ 6 กลีบ

ผล : มีลักษณะเป็นรูปไข่ กลมรี สีเหลืองถึงแดง ขนาด 2-3 ซม. มีเนื้อเยื่อบางๆหุ้มเมล็ด

การขยายพันธุ์ : ปลูกโดยใช้เมล็ดหรือตัดชำเถาแก่ ควรทำค้างให้บอระเพ็ดเลื้อยด้วย

ส่วนที่ใช้ : เถาแก่

สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม : ขึ้นได้ในดินทั่วไป แต่ชอบดินร่วนซุย ควรปลูกในฤดูฝน

สรรพคุณของบอระเพ็ด

ราก
- แก้ไข้เหนือ ไข้สันนิบาต แก้ไข้พิษ ไข้จับสั่น
- ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้
- เจริญอาหาร

ต้น
- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้เหนือ
- บำรุงกำลัง บำรุงธาตุ - แก้อาการแทรกซ้อน ขณะที่เป็นไข้ทรพิษ
- แก้ไข้เพื่อโลหิต แก้เลือดพิการ
- แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้สะอึก แก้พิษฝีดาษ
- เป็นยาขมเจริญอาหาร
- เป็นยาอายุวัฒนะ

ใบ
- แก้ไข้ แก้ไข้พิษ แก้ไข้กาฬ แก้ไข้จับสั่น
- ขับพยาธิ แก้ปวดฝี
- บำรุงธาตุ
- ยาลดความร้อน
- ทำให้ผิวพรรณผ่องใส หน้าตาสดชื่น
- รักษาโรคผิวหนัง ผดผื่นคันตามร่างกาย
- ช่วยให้เสียงไพเราะ
- แก้โลหิตคั่งในสมอง
- เป็นยาอายุวัฒนะ

ดอก
- ฆ่าพยาธิในท้อง ในฟัน ในหู

ผล
- แก้เสมหะเป็นพิษ แก้ไข้พิษ
- แก้สะอึก และสมุฎฐานกำเริบ

ประโยชน์ของบอระเพ็ด

มีการใช้บอระเพ็ดเป็นยาสมุนไพร สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุง กำลัง บำรุงไฟธาตุ ช่วยเจริญอาหาร รักษาโรคฝีดาษ โรคไข้เหนือ โรคไข้พิษทุกชนิด ใบ รักษาพยาธิในท้อง รักษาฟัน ตำให้ละเอียดพอกฝี แก้ฟกช้ำ ปวดแสบปวดร้อน ผล เป็นยา รักษาโรคไข้พิษอย่างแรงและเสมหะเป็นพิษ รักษาโรคทางเดินปัสสาวะ โรคโลหิตพิการ

ในทางการเกษตร มี การนำบอระเพ็ดมาใช้ในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช เช่น หนอนกอ เพลี้ยกระโดด เพลี้ยจักจั่น โรคยอดเหี่ยว โรคข้าวตายพราย และโรคข้าวลีบ เป็นต้น

วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาบรรเทาไข้ ลดความร้อน

1.ใช้เถาแก่สด หรือต้นสด ประมาณ 15-20 เซนติเมตร (30-40 กรัม) ตำให้แหลกและคั้นเอาน้ำดื่ม (อย่าลืมใส่ถุงมือตอนคั้นนะครับ ขมติดมือไม่รู้ด้วย )หรือต้มกับน้ำโดยใช้ น้ำ 3 ส่วน ต้มเคี่ยวให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า-เย็น หรือเวลามีอาการ

2.ใช้เถาสด ดองเหล้าโรง แนะนำ 20 ดีกรีก็พอ รับประทานเพียงครั้งละ 1 ช้อนชา
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของบอระเพ็ด ใครเลยจะรู้ว่าเจ้าสมุนไพรอย่างบอระเพ็ดเอง อาจเป็นที่มาของสำนวนที่ว่า “หวานเป็นลม ขมเป็นยา” ก็อาจเป็นได้
วิธีใช้บอระเพ็ดเป็นยาอายุวัฒนา

เนื่องจากว่าส่วนต้นของบอระเพ็ด จะมีความขมมากหากรับประทานสดสด จึงควรปรุงยาสมุนไพรไทยก่อนแนะนำ3วิธีดังต่อไปนี้

1.เอา เถาบอระเพ็ดหั่นแล้วตากแห้ง จากนั้นบดเป็นผงผสมกับน้ำผึ้ง ปั้นเป็นลูกกลอน รับประทานก่อนนอนวันละ 3-5 เม็ด

2. สำหรับคนที่ไม่แพ้แอลกลอฮอร์ ใช้เถาสดดองเหล้า โดยจะใช้บอระเพ็ดสดประมาณ 2 ขีดหั่นเป็นข้อใส่ในโถเหล้า ส่วนการดื่มให้ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชาก่อนอาหารเย็น

3. วิธีนี้ง่ายที่สุด คือนำบอระเพ็ดตากแห้ง แล้วนำมาบดใส่แคปซูล ทานวันละ 2-3 แคปซูลโดยทานก่อนอาหารเช้า เย็น (อาจทานเช้าเย็น มื้อละแคปซูล หรือเช้า 1 เย็น 2 ก็ได้)

การทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม

สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มแม่บ้านได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากบอระเพ็ดแช่อิ่มมีรสชาติดีและมีราคาของค่อนข้างสูง ยอดการสั่งซื้อก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ จนผลิตไม่ทันกับความต้องการ ถือได้ว่าเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรที่ยอดเยี่ยม สำหรับส่วนผสมและวิธีทำ มีดังนี้ค่ะ

เครื่องปรุง
1. เถาบอระเพ็ด 1 กิโลกรัม
2. น้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม
3. สารส้ม
4. เกลือ
5. น้ำซาวข้าว

วิธีทำบอระเพ็ดแช่อิ่ม
1. นำบอระเพ็ดมาตัดเป็นท่อน ลอกเปลือกออ
2. นำไปแช่น้ำเกลือ 1 คืน อัตราส่วนน้ำ 5 ลิตร/เกลือ 1 ลิตร พร้อมแกว่งสารส้ม ลอกไส้ออกเปลี่ยน น้ำเกลือทุกวันจนกว่าจะหายขม
3. ล้างน้ำเปล่าทำความสะอาด แช่น้ำปูนใส 1 คืน
4. ต้มน้ำให้เดือด นำบอระเพ็ดลงต้มประมาณ 10 นาที
5. แบ่งน้ำตาลทรายส่วนหนึ่งตั้งไฟ ชิมดูไม่หวานมากยกลงจากเตา เมื่อน้ำเย็นลงแล้ว เอาบอระเพ็ดลงไปแช่ อุ่นน้ำเชื่อมทุกวัน โดยตักบอระเพ็ดขึ้นก่อนแล้วเติมน้ำตาลทราย ทุกครั้งที่อุ่นจนน้ำตาลทรายหมด 1 กิโลกรัม เมื่อแช่น้ำเชื่อมครบ 15 วันจึงรับประทานได้

วิธีใช้บอระเพ็ดเพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืช
นำเถาสด 5 กิโลกรัม หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วบดให้ละเอียดผสมน้ำ 10 ลิตร ทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงนำมากรองก่อนฉีดพ่น ควรผสมผงซักฟอกหรือแชมพู 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ

ขอขอบคุณข้อมูลจากhttp://greenerald.blogspot.com/2013/05/Tinospora-Crispa.html

เลือดออกผิดปกติ รู้ได้อย่างไร



                                                     
                                                   เลือดออกผิดปกติ รู้ได้อย่างไร

"ตั้งแต่เด็กเล็กจนโตเป็นผู้ใหญ่ หลายท่านเคยมีเลือดออกกันบ้าง ไม่มากก็น้อย แต่ถ้ามีเลือดออกแบบผิดปกติ จะรู้ได้อย่างไร" ผศ.นพ.ชัยเจริญ ตันธเนศ ภาควิชาพยาธิวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าว

การเกิดเลือดออกที่เราเคยประสบมา อาจเป็นแบบเลือดออกชัดเจน ที่เห็นเลือดไหลเป็นหยดๆ หรือในบางครั้งเลือดอาจจะไม่ได้ออกมาให้เห็นภายนอก แต่จะเป็นลักษณะเลือดที่ออกใต้ชั้นเยื่อบุและผิวหนัง ซึ่งทางการแพทย์เราแบ่งภาวะเลือดออกเป็น 2 แบบใหญ่ๆ คือ

1.ภาวะเลือดออกทางศัลยกรรม เกิดจากการฉีกขาดของเนื้อเยื่อ เช่น ถูกมีดบาด ก็จะมีเลือดออกที่แผล หากแผลใหญ่มาก มีเลือดออกมาก จำเป็นต้องรักษาโดยวิธีทางศัลยกรรม เช่น การเย็บแผล เพื่อซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสียหาย

2.ภาวะเลือดออกผิดปกติ เกิดจากความผิดปกติของระบบห้ามเลือดในร่างกาย ซึ่งมีหน้าที่ป้องกันไม่ให้เลือดออกง่าย และช่วยห้ามเลือดเมื่อเกิดบาดแผล เมื่อระบบนี้เสียหน้าที่ไปก็จะทำให้เกิดภาวะเลือดออกผิดปกติขึ้นได้ ภาวะเลือดออกผิดปกตินี้เมื่อเกิดขึ้นต้องมาพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและให้การรักษาโดยเร็ว ซึ่งการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการใช้ยาเป็นหลัก

ลักษณะเลือดออกผิดปกติที่สำคัญ ได้แก่ มีเลือดออกมากไม่สมเหตุสมผลกับสาเหตุ เช่น เดินไปชนขอบโต๊ะไม่แรง แต่กลับมีรอยช้ำขนาดใหญ่ ถูกมีดบาดเป็นแผลเล็กๆ แต่กลับมีเลือดออกมาก หรือมีเลือดออกเองโดยไม่มีสาเหตุใดๆ เช่น เลือดออกในเยื่อบุตาขาว จุดเลือดออกหรือพรายย้ำ จ้ำเลือดที่ผิวหนัง หลายตำแหน่งพร้อมๆ กัน โดยไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ เช่น มีเลือดกำเดาพร้อมกับเลือดออกตามผิวหนัง ในเพศหญิงอาจพบปัญหาในรูปแบบของประจำเดือนที่ออกมากผิดปกติ

เลือดออกในตำแหน่งที่พบไม่บ่อย เช่น เลือดออกในข้อต่อต่างๆ เลือดออกในอวัยวะภายใน ถ้าสงสัยว่ามีเลือดออกผิดปกติ ให้มาพบแพทย์เพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่ม เช่น ตรวจเลือด ซึ่งผลการตรวจจะบอกได้ว่าเกิดจากสาเหตุใด แพทย์จะได้รักษาด้วยวิธีที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยในแต่ละราย

เมื่อมีเลือดออกจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ตั้งสติให้ดีและหาวิธีห้ามเลือดในเบื้องต้น ซึ่งวิธีการห้ามเลือดมีหลายวิธี วิธีที่ง่ายที่สุด คือ ยกอวัยวะที่มีบาดแผลให้สูงกว่าหัวใจ เพื่อลดการไหลเวียนของโลหิต และลดปริมาณการเสียเลือด และให้ใช้นิ้วมือหรือผ้าสะอาดวางทับบนแผล ใช้ผ้าพันแล้วรัดให้แน่นนาน 5-10 นาที ก็จะช่วยให้เลือดหยุดไหลได้ ในกรณีที่เลือดออกมากอย่างต่อเนื่อง ควรปฐมพยาบาลด้วยวิธีดังกล่าว แล้วรีบนำส่งโรงพยาบาล

http://www.thaihealth.or.th/