วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

***ผักขี้หูด***

ผักขี้หูด เป็นต้นไม้ล้มลุก เป็นพืชตระกูลถั่วฝัก เช่นเดียวกับถั่วแขก ถั่วฝักยาวนั่นแหละ เพียงแต่ฝักเล็กกว่า สั้นกว่าเท่านั้น มีดอกสวยงามมาก ผักขี้หูดถือเป็นผักพื้นบ้านทางภาคเหนือโดยแท้จริง หาพบในภาคอื่นน้อยมาก มีพบในอีสานบ้างก็เฉพาะบนภูสูงเท่านั้น ดังนั้นผักขี้หูดจึงเป็นที่รู้จักและใช้ในครัวเรือนอย่างกว้างขวางในภาคเหนือ อาหารเหนือจะอร่อยพิเศษเมื่อมีผักขี้หูดมาร่วมปรุงด้วย เช่น แกงแค แกงผักขี้หูดใส่ไข่มดแดง แกงส้มกับปลาช่อน แกงส้มพริกสดใส่มะเขือเทศ แกงป่ากับหมูสามชั้น แกงผักขี้หูดกับแหนมใส่ไข่ นอกจากนี้ยังกินเป็นผักสดจิ้มกับน้ำพริก หรือจะเป็นผักขี้หูดต้มจิ้มก็ได้เช่นกัน

ผักขี้หูด เมื่อสดอ่อนจะมีรสเผ็ดอ่อนๆ คล้ายมัสตาร์ด แต่เมื่อนำไปต้มก็จะออกรสหวานคล้ายก้านดอกหอม อร่อยมาก นิยมกินทั้งสดและสุก

สรรพคุณ
- ผักขี้หูดอุดมด้วยโปรตีนสูง ซึ่งจะช่วยทดแทนการขาดโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ และโปรตีนนี่เองที่จะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ช่วยบำรุุงเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- ผักขี้หูดยังช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นสุขภาพดี ทำให้ผิวไม่แห้งกร้านหรือหยาบได้ง่าย
- กระดูกและฟันคุณจะแข็งแรงมากขึ้นถ้าคุณได้กินผักขี้หูด
- การกินผักขี้หูดจะช่วยบำรุงสุขภาพจิตให้สดใส ทำให้คุณไม่เครียดซึ่งความเครียดนี่แหละที่เป็นสาเหตุให้ผิวหมองคล้ำ
- ผักขี้หูดยังช่วยบรรเทาอาการท้องเสียทำให้ผิวคุณไม่ต้องเสียน้ำและแร่ธาตุดี ๆ มากเกินไป
- ผักขี้หูดยังอุดมด้วยวิตามิน C สูง ซึ่งจะช่วยให้ผิวคุณสดใส ปราศจากจุดด่างดำคอยรบกวน 

วันอาทิตย์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

***คึ่นช่าย***

1. ลดปริมาณการสร้างอสุจิ และลดอัตราการตั้งท้อง จาก การวิจัยพบว่า ต้นคึ่นช่ายและเมล็ดคึ่นช่าย มีฤทธิ์ลดปริมาณเชื้ออสุจิในสัตว์ทดลองตัวผู้ และลดอัตราการตั้งท้องของสัตว์ตัวเมีย ได้มีการทดลองในคนโดยให้ชายไทย 7คน รับประทานคึ่นช่ายในรูปอาหาร คนละ 85กรัม/วัน พบว่าจำนวนอสุจิลดลงอย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ในเวลาต่อๆ มาจำนวนอสุจิจะลดลงอีกเล็กน้อย และจะคงที่ในระดับหนึ่ง หลังจากหยุดรับประทาน 5-8สัปดาห์ พบว่ามี 4คนกลับคืนสู่สภาพปกติ อีก 3คน ยังคงมีจำนวนอสุจิต่ำกว่าเมื่อก่อนรับประทานคึ่นช่าย ฤทธิ์ในการคุมกำเนิดน่าจะเป็นฤทธิ์ในการลดอัตราการตั้งท้องในสั ตว์ตัวเมีย สำหรับฤทธิ์การลดจำนวนอสุจินั้น อาจจะไม่พอเพียงที่จะคุมกำเนิดได้

2. ลดความดันโลหิต การวิจัยในสัตว์ทดลองพบว่า น้ำต้มคึ่นช่าย สามารถลดความดันโลหิตได้ภายใน 1ชั่วโมง และฤทธิ์อยู่ได้นานกว่า 5ชั่วโมง

3. ช่วยขับลม ขับปัสสาวะ น้ำมันหอมระเหยในลำต้นและใบ มีฤทธิ์ช่วยขับลมในกระเพาะและลำไส้ ทำให้หายจุกเสียด

ที่มา : หนังสือสมุนไพรน่ารู้ โดย รศ.ดร.วันดี กฤษณพันธ์
***เซเลอรี่ (คึ่นฉ่ายฝรั่ง)***

เซเลอรี่....(Celery) คือขึ้นฉ่ายชนิดหนึ่งเหมือนกับบ้านเรา จะแตกต่างก็แค่เป็นพืชผักจากเมืองหนาวหรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นผักสัญชาติฝรั่งนั่นเอง

เซอเลอรี่ เป็นผักที่น่าสนใจของผักเมืองหนาวอีกชนิดหนึ่ง เพราะเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตเร็ว และให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับผักชนิดอื่น แต่ข้อจำกัดของเซเลอรี่ก็มีเช่นกัน เพราะเป็นผักที่ต้องการการดูแลเอาใจใส่อย่างประณีต พิถีพิถันจึงจะได้ผลผลิตสูง อีกทั้งต้องอาศัยดินที่มีความอุดมสมบูรณ์เพราะพื้นฐานของเซเลอรี่ต้องการความชุ่มชื่นอย่างสม่ำเสมออยู่แล้ว ซึ่งนอกจากจะอาศัยดินและการดูแลที่ดีแล้ว พื้นที่ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน

โดยทั่วไปเซเลอรี่จะมีลักษณะคล้ายกับต้นขึ้นฉ่ายของจีน จะแตกต่างก็ตรงที่เซเลอรี่ จะมีลำต้นใหญ่กว่าและมีกลิ่นหอมประหลาด ซึ่งกลิ่นหอมจนฉุนแบบนี้ทำให้เด็กหรือผู้ใหญ่บางคนไม่ค่อยโปรดปรานนัก แต่สำหรับใครที่ชอบรับประทานเซเลอรี่อยู่แล้วก็ต้องขอแสดงความยินดีด้วย เพราะคุณได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์จากเซเลอรี่ไปมากมายเลยทีเดียว แต่กระนั้นหลายคนก็ยังเข้าใจผิดคิดว่าเซเลอรี่เป็นผักที่ไม่สามารถนำมาผัดหรือประกอบอาหารอื่นๆ ได้อีก นอกจากรับประทานสดหรือทานเป็นผักสลัดเสียมากกว่า ซึ่งแท้จริงแล้วเซเลอรี่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนูเฉกเช่นเดียวกับผักชนิดอื่น อาทิ ทำซุปผัก ตุ๋นรวมกับผักหลายชนิดแบบจีน ผัดน้ำมันหอย แกงจืด หรือแม้แต่ต้มดื่มเป็นชาและคั้นน้ำดื่มสดๆ ผสมกับน้ำผักชนิดอื่นก็จะได้รับประโยชน์มากขึ้นเป็นเท่าตัว

แต่วันนี้เซเลอรี่ได้กลายเป็นขวัญใจของผู้ที่รักและใส่ใจสุขภาพไปโดยปริยาย เนื่องจากมีสรรพคุณหลายหลายที่สามารถช่วยบำบัดและบรรเทาอาการของโรคต่างๆ ได้ดีโดยเฉพาะในผู้สูงอายุ โดยมีสรรคุณทางยาคือช่วยลดความดันโลหิตและช่วยให้เจริญอาหาร รวมทั้งมีปริมาณโซเดียมต่ำ ดังนั้นคนที่เป็นโรคไตจึงสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดผลข้างเคียงใดๆ นอกจากนี้ยังอุดมด้วยสารอาหารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่มีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ Phytonutrient และ Aplin ซึ่งสารทั้ง 2 ชนิดนี้ นักวิจัยค้นพบในผักเซเลอรี่ซึ่งมีปริมาณที่สูงมาก และส่งผลให้ร่างกายได้รับประโยชน์โดยตรงคือ ช่วยในการล้างพิษ ซ่อมแซมระบบการย่อยอาหารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถป้องกันการติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ รวมถึงลำไส้ใหญ่ที่มักเกิดในเพศหญิงได้อีกด้วย

ได้ดูประโยชน์ของขึ้นฉ่ายสัญชาติฝรั่งกันแล้ว วันนี้เราลองมาทำความรู้จักเพิ่มเติมกับเซเลอรี่ในเมนูแสนง่าย มากคุณค่า ราคาประหยัด กับเมนูเก๋ๆ ที่ชื่อว่า "Cerely Mix & Match" หรือน้ำผักผลไม้เปี่ยมประโยชน์ที่เหมาะกับคุณๆ

"Cerely Mix & Match"

***หัวไชเท้า(หัวผักกาด)***

ไชเท้า มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Raphanus sativus Linn. อยู่ในวงศ์ Crutiferae หัวไชเท้าหรือผักกาดหัว มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีน และได้แพร่หลายไปทั่วตามการอพยพย้ายถิ่นของคนจีน นิยมรับประทานเป็นอาหาร ใช้ทำเป็นแกงจืด แกงส้ม ต้มจับฉ่าย หรือเอามาดองเค็ม ตากแห้ง ทำเป็นหัวไชโป๊ แล้วนำมาปรุงเป็นอาหารทานกับข้าวต้มกุ๊ย

หัวไชเท้าเป็นอาหารที่ดีมาก ตำราจีนกล่าวว่าไชเท้ามีสรรพคุณในการกระจายสิ่งหมักหมมในร่างกาย ละลายเสมหะ แก้พิษ ลดความดัน ขยายหลอดลมและหลอดเลือด จึงควรเป็นอาหารที่อยู่ในเมนูของคนที่ป่วยเป็นโรคหวัด ไอเสียงแหบแห้ง ท้องขึ้นเนื่องจากอาหารไม่ย่อย คออักเสบเรื้อรัง เป็นสมุนไพรที่มีอยู่ในตำรายาจีน

โดยแนะนำให้คนวัยทองนำหัวไชเท้าดิบมาหั่นซอยเป็นเส้นฝอยทานวันละ 2 ช้อนโต๊ะ หรือมื้อละ 1 ช้อนโต๊ะ วันละ 2 ครั้ง ทั้งนี้ มีความเชื่อว่าจะทำให้ผิวพรรณ ดูเปล่งปลั่งสดใสมีน้ำมีนวล หัวไชเท้ายังช่วยกำจัดพิษ สามารถช่วยให้ปัสสาวะใส ไม่ขุ่น ช่วยชำระล้างผนังกระเพาะอาหารและลำไส้ ช่วยย่อย และช่วยทำให้หายใจโล่งขึ้น ที่สำคัญคือเจ้าหัวไชเท้านี่มีสารโปรวิตามินเอ ที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเออยู่สูงมาก หัวไชเท้าจึงเป็นแหล่งวิตามินเอที่หาง่ายและราคาถูก ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่ากลิ่นของหัวไชเท้า สามารถช่วยกระตุ้นน้ำย่อยได้ ดังนั้นในอาหารญี่ปุ่นหลายชนิด จึงใส่หัวไชเท้าขูดฝอยลงในน้ำจิ้มซีอิ้ว หรือหั่นฝอยกินคู่กับปลาดิบเป็นผักเครื่องเคียง

หัวไช้เท้า สามารถนำมาใช้ในการลดรอยฝ้าและกระให้จางลง แบบง่ายๆ โดยเราจะใช้หัวไชเท้า 1 หัว (ขนาดเล็ก) น้ำมะนาวสด 1 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ นำหัวไชเท้าล้างน้ำให้สะอาด แล้วปอกเปลือก หั่นบางๆ นำไปปั่นให้พอละเอียด ใส่น้ำมะนาวประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วจึงปั่นรวมกันอีกครั้ง วิธีใช้ นำส่วนผสมที่ได้มาทาทั่วผิวหน้า (ยกเว้นรอบดวงตาและปาก) ทิ้งไว้ประมาณ 10 - 15 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาดทำเป็นประจำจะช่วยลดฝ้า และกระให้สีจางลงได้

*หัวไชเท้าดองสามรส*
ส่วนผสม
หัวไชเท้า 500 กรัม
เกลือป่น 1/2 ถ้วย
น้ำดอง
เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
น้ำส้มสายชู 1 ถ้วย
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

วิธีทำ
1. ปอกเปลือกหัวไชเท้า หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมขนาด2 ซม. เคล้าเกลือหมักไว้ 1 คืน
2. ล้างหัวไชเท้าด้วยน้ำ 2 - 3 ครั้งแล้วจึงผึ่งแดดให้พอแห้ง 1 วัน อัดลงในขวดปากกว้าง กดให้แน่น
3. ผสมเกลือ น้ำส้มสายชู น้ำตาล ตั้งไฟพอละลาย กรองด้วยผ้าขาวบาง ปล่อยให้เย็น เทลงในขวดหัวไชเท้าให้น้ำท่วม ปิดด้วยใบตอง ปิดฝาประมาณ 1 สัปดาห์จึงรับประทานได้
4. ใช้รับประทานกับข้าวต้ม แนมแกงหรือปรุงรสแบบยำ

การทำอาหารรับประทานเองอาจดูยุ่งยาก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถซื้อได้คือความภูมิใจในความสามารถของเราเอง รสชาติจะอร่อยหรือไม่ก็อยู่ที่การฝึกปรือฝีมืออยู่เสมอ ถ้าตั้งใจบวกกับความใส่ใจรับรองอาหารออกมาอร่อยทุกราย

ที่มา : healthcornerguide.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

***มาทำความรู้จักกับน้ำมันพืชกันเถอะ***

ความแตกต่างของน้ำมันแต่ละประเภท ควรเลือกซื้อเพื่อนำไปใช้ให้ได้ประโยชน์ และถูกต้องตามความต้องการ

+น้ำมันมะกอก (Olive Oil) เป็นน้ำมันที่อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว วิตามินเอ เบตา-แคโรทีน และสารต้านอนุมูลอิสระที่ให้ผลดีต่อร่างกายหลายประการ เช่น ช่วยป้องกันการเกิดของหลอดเลือดแดงแข็งตัว ช่วยให้การหมุนเวียนของโลหืตดีขึ้น อีกทั้งยังป้องกันโรคความดันโลหิตสูง หัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ไตวาย เส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ยังช่วยมห้ระบบการทำงานของส่วนต่างๆ ในร่างกายดีขึ้น ทั้งกระเพาะอาหาร ตับอ่อน ลำไส้ ตับ และถุงน้ำดี ส่วนวิตามินเอ และสารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในน้ำมันมะกอกจะช่วยให้ผิวหนังมีความยืดหยุ่น ป้องกันโรคผิวหนัง และลดริ้วรอยเหี่ยวย่น สำหรับผู้สูงอายุที่มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูก หากรับประทานน้ำมันมะกอกเป็นประจำจะช่วยเสริมสร้างกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน และช่วยให้ร่างกายดูดซึมแร่ธาตุ และแคงเซียมได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีกรดไขมันที่ช่วยต่อต้านการก่อตัวของติ่งเนื้อในอวัยวะต่างๆ ที่เรียกว่ามะเร็งได้อีกด้วย แต่ในเรื่องของราคานั้น น้ำมันมะกอกจะมีราคาที่ค่อนข้างสูงกว่าน้ำมันทั่วๆ ไป ซึ่งจะขายกันอยู่ที่ 150-400 บาทต่อ 1,000 มิลลิลิตร

+น้ำมันงา (Sesame Oil) เป็นน้ำมันพืชที่หลายเป็นเทศนิยมนำมาใช้ในการปรุงอาหาร โดยเฉพาะชาวจีน ญี่ปุ่น และเกาหลี จะใช้น้ำมันงาเป็นส่วนผสมของอาหาร น้ำมันงาบริสุทธิ์จะมีรสฝาดร้อนแต่ไม่มีกลิ่นเหม็นหืน เนื่องจากมีสาร "เซซามอล" (Sesamol) ซึ่งเป็นสารกันหืนอยู่ในตัวมันเอง ในทางการแพทย์จึงใช้สารชนิดนี้ไปเป็นส่วนประกอบของยาเพื่อลดความดันโลหิต ชะลอความแก่ และลดการแพร่กระจายของเซลมะเร็ง นอกจากสารเซซามอลแล้ว ยังมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเมื่อเทียบกับน้ำมันชนิดอื่นๆ ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัวอันเป็ยเหตุของโรคหัวใจขาดเลือดแล้ว ยังมีกรดไขมันไลโนเลอิกที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโต ช่วยควบคุม และลดคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันการเป็นโรคหัวใจ โรคที่เกี่ยวกับหลอดเลือดบาชนิด ทั้งยังให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนัง ส่วนเรื่องราคานั้นน้ำมันงาจะขายอยู่ที่ราคาประมาณ 50-250 บาทต่อ 1,000 มิลลิกรัม

+น้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน (Sunflower Oil) ในเมล็ดดอกทานตะวันนั้นอุดมไปด้วยน้ำมัน และวิตามินอี น้ำมันที่ได้จากเมล็ดทานตะวันจะมีกรดไลโนเลอิกสูงถึง 44-75 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกาย สามารถป้องกันการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือด ป้องกันโรคฆลอดเลือดหัวใจ ส่วนวิตามินอีจะทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ คอยดักจับ และทำลายของเสียที่จะมาทำลายเซลล์ต่างๆ ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ลดไขมันในเส้นเลือ ป้องกันการเกิดมะเร็ง บำรุงสายตา ป้องกันการเป็นหมัน การแท้ง และป้องกันเนื้อเยื่อปอดถูกทำลายจากอากาศ นอกจากนี้ยังมีกรดไขมัน CLA (Conjugated Acid) คือกรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ มีประโยชน์ในการเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเพิ่มโฮโมนที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ที่ข่วยในการเผาผลาญไขมันสะสมมาใข้เป็นพลังงานอย่างเต็มที่ พร้องทั้งลดปริมาณการเกิดไขมันสะสมที่จะเกิดใหม่ด้วย ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 บาทต่อ 1,000 มิลลิกรัม

+น้ำมันรำข้าว (Ricec Bran Oil) มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี๋ยวสูงถึง 44 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณกรดไขมันทั้งหทด ซึ่งจะช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ดี และด้วยปริมาณกรดไขมันที่สมดุลนี้เอง องค์การอนามัยโลก สมาคมโดรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกา และองค์การอาหารและเกษตรแห่สหประชาชาติจึงแนะนำว่าเป็นน้ำมันที่เหมาะต่อการบริโภค นอกจากกรดไขมันแลวยังมีวิตามิน และสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกายอีหลายชนิด ทั้งวิตามินอี โอรีซานอล โทโคไตรอีนอล ซึ่งเป๋นสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายอีกด้วย น้ำมันรำข้าวนั้นสามารถหาซื้อได้ทั่วไป ราคาอยู่ที่ 30-40 บาทต่อขวด (1,000 มิลลิลิตร)

+น้ำมันดอกคำฝอย (Safflower Oil) ประกอบด้วยเบตา-แคโทรีน กรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิดในปริมาณสูง (ประมาณร้อยละ 74 ) เช่น กรดไลโนเลอิก กรดไลโนลิก (Linolic Acid) และกรดโอเลอิก เป็นต้น จึงทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดต่ำลง จากผลการวิจัยพบว่า น้ำมันดอกคำฝอยช่วยให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือดลดลงได้จริง ทั้งนี้เป็นเพราะกรดไลโนเลอิกทำปฏิกิริยากับคอเลสเตอรอลในเลือด กลายเป็นคอเลสเตอรอลไลโนเลเอท (Linoleate Choloesterol) และยังทำให้ฤทธิ์ของเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์กราดไขมันลดลงอีกด้วย และบางผลการวิจัยยังพบว่าน้ำมันดอกคำฝอยช่วยลดการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด และป้องกันการอุดตันในเลือดได้ นำมันดอกคำฝอยหาซื้อได้ตามซูเปอร์มาเก็ต ราคาขวดละ 250-300 บาท ต่อ 1,000 มิลลิลิตร

+น้ำมันถั่วเหลือง (Soybean Oil) น้ำมันถั่วเหลืองนับว่ามีความสำคัญ เพราะเป็นน้ำมันที่คุณภาพดี มีกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งช่วยลดคอเสเตอรอลไม่ดีได้ ยิ่งกว่านั้นในเมล็ดถั่วเหลืองยังมีโปรตีนสูง นิยมใช้ในการปรุงอาหาร ทำน้ำมันสกัด และเนยเทียม หาซื้อได้ทั่วไปราคาถูก ขวดละ 35-40 บาท

+น้ำมันปาล์ม (Palm Oil) สกัดจากเปลือกเมล็ดปาล์ม จากนั้นนำมาผ่านกระบวนการการแยกกรดไขมันอิ่มตัวออกบางส่วน น้ำมันที่ได้จึงมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีประโยชน์สูง กรดไขมันอิ่มตัว 48 เปอร์เซ็นต์ กรดไขมันไม่อิ่มตัว 38 เปอร์เซ็นต์ น้ำมันชนิดนี้เหมาะกับการทอดอาหารสำเร็จรูป ปรุงอาหาร และผลิตมาการีน ราคาขวดละ 25-30 บาท

+น้ำมันถั่วลิสง (Peanut Oil) มีกลิ่นถั่ว Nutty Flavour) กรดโอเลอิก และไลโนเลอิกสูงถึงร้อยละ 50-55 ของกรดไขมันทั้งหมด ในบ้านเราหาซื้อยาก เพราะไม่เป็นที่นิยมนำมาใช้ในการประกอบอาหารเนื่องจากมีกลิ่น แต่มักใช้ในการปรุงอาหารจีนอาหารอินเดีย เรื่องราคานั้นค่อนข้างสูง เพราะต้องนำเข้าจากประเทศผู้ผลิตโดยตรง

+น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นโดยไม่ผ่านความร้อน (cold press coconut oil) ผลิตจากเนื้อมะพร้าวสดเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด สีใสเหมือนน้ำมีวิตามินอีและไม่ผ่านขบวนการเติมออกซิเจน (oxidation) และที่สำคัญกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวมีกรดคลอริกอยู่ประมาณ 54.61% กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวดีเด่นกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เพราะมันมีความสามารถพิเศษคือ สร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเราบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในร่างกายกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไรด์ที่มีชื่อว่า โมโนลอรีน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดาที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรกที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อยเป็นอะไร และยังสามมารถฆ่าเชื้อโรค ในโมโนลอรีนเป็นสารปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อที่ก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว ช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ป้องกันการเหี่ยวย่นของผิวหนัง ป้องกันการเกิดกระและรอยคล้ำบนผิวหน้า ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง กระด้าง ป้องกันผมหงอก น้ำมันมะพร้าวสามรถช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวสามารถยึดเกาะกับโปรตีนของเส้นผมจึงช่วยเสริมความแข็งแรง โดยการรักษาความชื้น และลดรอยแตกแยกในเส้นผมได้ดี การบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำจะช่วยแก้ สถานการณ์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนล้าของผู้สูงอายุ และสามารถลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ


การเลือกน้ำมันมาใช้ปรุงอาหารให้เหมาะสมมีหลักการง่ายๆ ถ้าเป็นน้ำมันมะกอกชนิดรสอ่อน (Mild) เหมาะที่จะใช้รับประทานสดๆ หรือใช้ทำสลัด ทอดไข่ ทำมายองเนส และอบอาหารต่างๆ ส่วนน้ำมันมะกอกรสกลางๆ 9Medium Fruity-Flavoured) จะช่วยเพิ่มรสชาติของสัดให้น่ากินยิ่งขึ้น ส่วนน้ำมันมะกอกรสเข้ม (Strong Fruity-Flavoured) เหมาะสำหรับทอด ผัด เคี่ยว ตุ๋น และน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ (Extra Virgin Olive Oil) เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการปรุงสลัด และทาขนมปัง

หากจะใช้น้ำมันเป็นส่วนผสมของน้ำสลัดต้องเลือกน้ำมันที่ไม่แข็งตัวในอุณหภูมิต่ำ (ประมาณ5-10 องศาเซลเซียส) โดยเลือกน้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง เช่นน้ำมันมะกอก น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด หากต้องการทอดอาหารโดยใช้น้ำมันน้อยๆ ให้ใช้น้ำมันพืชชนิดใดก็ได้ แต่ถ้าต้องการทอดอาหารที่ต้องใช้น้ำมันปริมาณมากๆ ใช้ความร้อนสูง (Deep Frying) เช่น การทอดไก่ กล้วยแขก โดนัท ไม่ควรใช้น้ำมันพืชที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงนัก แต่ควรใช้น้ำมันปาล์ม เพราะให้ความร้อนเร็วกว่าน้ำมันชนิดอื่นๆ และที่สำคัญในการทอดอาหารนั้น ไม่ควรนำน้ำมันที่ผ่านการทอดมาแล้วกลับมาใช้ใหม่ เพราะน้ำมันที่ผ่านการทอดแล้วนั้นจะมีกรดไขมันอิสระเพิ่มขึ้น และมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงเกินไป ทำให้มีควันมาก เหม็นหืน มีความหนืดมากขึ้น และทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพในภายหลังได้

การเลือกน้ำมันเพื่อนำมาใช้ในการปรุงอาหารให้ถูกประเภทนั้น นอกจากจะทำให้รสชาติของอาหารอร่อยแล้ว แถมสุขภาพยังดีในเวลาเดียวกันอีกด้วย
***ลูกพรุน ผลไม้แห่งไฟเบอร์***

ลูกพรุน เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยไฟเบอร์ (เส้นใย) ธาตุเหล็กสูง นอกจากนี้ยังมีวิตามิน และแร่ธาตุหลายชนิด เช่น วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี ลูกพรุนมีไขมันต่ำ แคลอรี่น้อย และสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ มีคุณสมบัติ สามารถอุ้มน้ำไว้ระหว่างใย จึงทำให้กากอาหารนิ่ม และมีส่วนช่วยกระตุ้นการทำงาน ของลำไส้ ให้มีการเคลื่อนไหวบีบตัว ได้ดีขึ้น จึงทำให้ท้องไม่ผูก องค์ประกอบที่วิเศษ อีกอย่างคือ เป็นเส้นใยที่ละลายน้ำได้ จึงทำหน้าที่ ไปขัดขวาง การดูดซึมของไขมัน และน้ำตาลในเลือด ซึ่งเหมาะกับผู้สูงอายุ ที่เป็นเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคหัวใจ ที่อาจเกิดอันตรายได้หากมีการเบ่งอุจจาระแรง

ในลูกพรุน มีกากใยธรรมชาติ Dietary fiber จำนวนมากหลายชนิด ซึ่งเป็นทั้งชนิดที่ละลายน้ำได้ และละลายน้ำไม่ได้ กากใยอาหารนี้มีส่วนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ และจากการทดลองรับประทานลูกพรุน พบว่าสามารถลดไขมันในเลือด (LDL cholesterol) ในผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูงได้ พบว่ากลไกดังกล่าวเกิดจากกากใยอาหารชนิด เซลลูโลสซึ่งละลายน้ำไม่ได้ และเพ็คตินซึ่งละลายน้ำได้

มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงอีกจำนวนมาก นอกจากนี้น้ำลูกพรุนยังเป็นอาหารที่วิตามินซี วิตามินอี แหล่งที่ดีของธาตุเหล็ก และไฟเบอร์หรือกากใยอาหาร น้ำลูกพรุนแม้จะมีรสหวานแต่ส่วนมากประกอบไปด้วยน้ำตาลชนิด ฟลุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังช่วยระบายและรักษาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งในผู้ใหญ่ และในเด็กเล็ก แต่ถ้าเป็นเด็กเล็กก็ควรปรึกษาแพทย์ด้วยเสมอ

วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ช่วยในการมองเห็น ผิวหนัง เล็บ และผม

วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์ จากการถูกทำลาย ซึ่งเมื่อเซลล์ถูกทำลายก็จะเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งสูง วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลง และมีอัตราการเกิดเป็นโรคมะเร็งน้อยลง มีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดง และทำให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่ม ช่วยบำรุงสายตา

แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันรักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยให้ระบบประสาททำงานได้อย่างเป็นปกติ

เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดง พรุนแห้งหนึ่งขีดมีธาตุเหล็ก 2.78 มิลลิกรัม จึงเป็นแหล่งของธาตุเหล็กได้เป็นอย่างดี

***ข้อควรระวังในน้ำลูกพรุน***
เนื่องจากน้ำ ลูกพรุน มีโปแตสเซียมสูง จึงไม่ควรรับประทานในผู้ป่วยโรคไตวาย ระยะหลังที่ได้รับการ ล้างไต แต่ถ้าไม่ได้เป็นโรคไตชนิดนี้ก็จะรับประทานได้โดยปลอดภัย และไม่ทำให้เป็นโรคไตใดๆ ทั้งสิ้น รับประทานจะมีผลดีต่อสุขภาพ โดยไม่ทำให้เกิดโรคไตวายแต่อย่างใด นอกจากนี้น้ำลูกพรุน มีส่วนช่วยระบาย จึงไม่ควรรับประทานเป็นจำนวนมาก เพราะจะทำให้ท้องเสียได้ในบางคน ไม่ควรรับประทานครั้งละมากๆ รับประทานครั้งละ ๑๕-๓๐ ซีซี ต่อคน น้ำลูกพรุนจึงเป็นอาหารที่มีประโยชน์มีวิตามิน แร่ธาตุและใยอาหารสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพเป็นจำนวนมาก ทั้งยังมีรสชาติอร่อย น่ารับประทาน และยังช่วยระบาย ซึ่งนับเป็นยาระบายที่ปลอดภัยแม้ในเด็ก เป็นน้ำผลไม้ที่มีผู้นิยมรับประทานทั่วโลก ดังนั้นนับเป็นน้ำผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ และน่าลองรับประทานเป็นอย่างยิ่ง

วันพุธที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

*** อาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่าง ***

ก่อนที่จะรับประทาน ควรเลือกชนิดของอาหารเสียก่อนนะคะ เพราะบางทีอาหารที่เราทานลงไปทั้งๆ ที่มีประโยชน์แต่ไม่ถูกเวลา ก็อาจส่งผลเสียบางอย่างที่เราคาดไม่ถึงก็ได้ค่ะ ไปดูกันว่าอาหารที่ไม่ควรรับประทานขณะท้องว่างมีชนิดใดบ้าง

นมและนมถั่วเหลือง
แม้ว่านมถั่วเหลืองจะอุดมไปด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภทแป้งอยู่

เหล้า
หากดื่มเหล้าในขณะท้องว่าง จะไปกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบและเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

น้ำตาลหรืออาหารหวาน
ไม่ควรรับประทานอาหารหวานหรือน้ำตาล เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะหากรับประทานขณะท้องว่างจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาลส่งผลต่อการดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต

ชาที่แก่เกินไป
ชาทำให้กรดเกลือในน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง ส่งผลให้การทำงานของระบบย่อยอาหารลดลงและเกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะมือเท้าไม่มีแรง จิตใจไม่สงบ

ลูกพลับ
ไม่ควรรับประทานลูกพลับในขณะที่ท้องว่าง เพราะกระเพาะอาหารจะหลั่งกรดเกลือออกมามาก หากไปรวมตัวกับยาง และสารแขวนลอยในลูกพลับแล้วจะทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

กล้วย
เพราะกล้วยอุดมไปด้วยธาตุแมกนีเซียม การรับประทานกล้วยขณะท้องว่าง จะทำให้ปริมาณธาตุแมกนีเซียมในเลือดสูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมไปเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง

กระเทียม
เพราะจะทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารได้รับการกระตุ้น เกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบอย่างรุนแรง

ผัก
การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้กระเพาะอาหารเกิดอาการผิดปกติ

นอกจากนั้นยังไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกายด้วยเช่นกัน เพราะการอาบน้ำและการออกกำลังกายในขณะที่ท้องว่าง จะทำให้เกิดอาการช็อกเนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำได้ง่าย อย่าลืมสิ่งใดที่มีคุณอนันต์ก็อาจมีโทษมหันต์เช่นกัน ถ้าคุณปฏิบัติอย่างผิดวิธี
แครอทเป็นผักหัว มีฤทธิ์เย็น อุดมไปด้วยวิตามินเอ และเกลือแร่ วิตามินเอเอาไว้ใช้ ช่วยบำรุงสายตา บำรุงผิวและ เนื้อเยื่อ ช่วยยับยั้งความเสื่อมของ อวัยวะสำคัญของร่างกาย มีความเชื่อว่า แครอทช่วยรักษา โรคมะเร็ง ช่วยลดความเสี่ยงจากโรค เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤษ์ อัมพาต ความดันโลหิตสูง ต้อกระจก และยังช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน เร่งการสร้างเซลล์ในแผลผ่าติด

นอกจากนี้ ยังอุดมด้วยวิตามินบี วิตามินซี และแคลเซียมที่ดูดซึมง่ายมีแพคตินซึ่งเป็นไฟล์เบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ ช่วยลดโคเลสเตอรอล วิตามินและเกลือแร่ที่มีอยู่ มีบทบาท สำคัญ ในการสร้างภูมิคุ้มกันโรค

หัวแครอท จะเป็นสีส้มเพราะมีสาร carotene มีเป็นจำนวนมาก เมื่อเรากินสาร carotene นี้เข้าไปในร่างกายสารชนิดนี้จะเปลี่ยนเป็นไวตามินเอซึ่งมีประโยชน์ต่อสายตาสำหรับผู้ที่เป็นโรคตาฟาง น้ำที่คั้นจากหัวแครอทใช้ผสมกับน้ำมะนาวให้ใช้ทาตามบริเวณผิวหน้าเป็นยาบำรุงผิวลบรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า นอกจากนี้แล้วหัวแครอทยังให้ปริมาณของเกลือโปแตสเซี่ยมสูงซึ่งทำให้มีฤทธิ์ในทางขับปัสสาวะส่วนน้ำมันหอมระเหยทีมีอยู่ในหัวแครอทจะมีฤทธิ์ในทางขับพยาธิไส้เดือนได้

** น้ำแครอทปั่น **
ส่วนผสม
-แครอทหั่นเล็ก ๆ 3 ช้อนโต๊ะ
-น้ำเชื่อมเข้มข้น 8 ช้อนโต๊ะ(ตามชอบ)
-น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ หรือ น้ำส้มคั้น 1 ถ้วย
-เกลือ 1 ช้อนชา
-น้ำต้มสุก 1 แก้ว
-น้ำแข็ง 2 ถ้วย

วิธีทำ
1. ล้างแครอทให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เติมน้ำ ปั่นให้ละเอียด
2. ผสมน้ำเชื่อม น้ำ มะนาว/น้ำส้ม เกลือ เติมน้ำตามส่วน ผสมให้ เข้ากัน ใส่น้ำแข็งปั่นก่อนเสิร์ฟ

ที่มา : healthdeena.blogspot.com

วันอังคารที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

***จัดสรรตารางทานอาหาร ช่วยควบคุมน้ำหนักได้*** 

ในแต่ละวัน หากเราสามารถจัดสรรเวลาการทานอาหารต่าง ๆ ให้เป็นเวลาได้ ก็จะช่วยควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้นค่ะ ซึ่งช่วงไหน ต้องทานอะไรบ้าง เรามีตารางเวลาการทานที่ถูกต้องมาแนะนำ ลองนำไปใช้ดูเทียบกับการกินประจำวันของคุณนะคะ..

05.00 – 07.00 น. ช่วงเช้า ๆ แบบนี้ควรดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว เพื่อช่วยในการขับถ่าย

07.00 – 09.00 น. เป็นเวลาเหมาะที่จะทานอาหารเช้า เพราะกระเพาะอาหารจะทำงานในเวลานี้ ถ้าสามารถทำได้ทุกวัน กระเพาะของคุณก็จะแข็งแรง แถมทำให้ไม่แก่เร็วอีกด้วย

09.00 – 11.00 น. ช่วงนี้ถ้าไม่ทานอาหารหรือขนมจะดีมาก เพราะอาหารและน้ำจะแปรสภาพเป็นไขมัน

13.00 – 15.00 น. ควรงดอาหารทุกชนิด เพราะลำไส้เล็กจะทำงานหนัก

15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย พยายามทำตัวให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง

23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ควรงดอาหารทุกชนิด และให้ดื่มน้ำก่อนเข้านอน

คราวนี้คุณ ๆ ทั้งหลายก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าวัน ๆ ทานอะไรเข้าไปก็ห่วงอ้วนแล้ว เพราะการจัดตารางอาหารประจำวัน จะช่วยให้คุณมีระเบียบในการรับประทานขึ้นเยอะเลยล่ะ

ที่มา : health.kapook.com

วันจันทร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"สตรอเบอร์รี่ปั่นโยเกิร์ต/นมสด"

:: ส่วนผสม :: สำหรับ 1 แก้ว
1. สตรอเบอรี่สดหรือแช่แข็ง 1/2 ถ้วย
2. นมสด 2 ช้อนโต๊ะ หรือ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 2 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำเชื่อม 2 ช้อนโต๊ะ (สามารถเพิ่มหรือลดได้ตามใจ)
4. น้ำแข็ง 1 แก้ว หรือ 1 ถ้วย
5. เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

หมายเหตุ : สตรอเบอร์รี่สดต้องล้างให้สะอาด

"สตรอเบอร์รี่" อีกหนึ่งผลไม้เมืองหนาวที่มีประโยชน์รวมถึงสรรพคุณที่จัดว่ายาได้ทีเดียว สำหรับประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่นั้นมีมากมายโดยเฉพาะสาว ๆ ด้วยนิยมรับประทานสตรอเบอร์รี่กันประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่ นอกจากจะดูแลในเรื่องผิวพรรณแล้ว ยังมักจะนำไปทำอาหารต่าง ๆ ที่แสนอร่อยอีกด้วย อาทิเช่น ไอศกรีม ขนมอบแห้ง เค้ก ฯลฯ และ สรรพคุณของสตรอเบอร์รี่ ก็ยังช่วยรักษาโรคทำให้เราสุขภาพดีได้อีกด้วย


สรรพคุณ / ประโยชน์ของสตรอเบอร์รี่

- ดูแลสายตา
ปัญหาเกี่ยวกับดวงตาส่วนใหญ่จะเกิดจากอนุมูลอิสระและการขาดสารอาหารบางชนิด และเมื่อเราอายุมากขึ้นดวงตาของเรายิ่งถูกทำร้ายได้ง่าย ซ้ำร้ายความแก่ชราจะทำให้กล้ามเนื้อดวงตาเสื่อมสภาพ แต่สตรอเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก และกรดเอลลาจิก ซึ่งช่วยชะลอกระบวนการดังกล่าว แถมยังมีโพแทสเซียมซึ่งช่วยปรับความดันในตาให้เป็นปกติ

- ป้องกันโรคข้ออักเสบและโรคเกาต์
เมื่อกล้ามเนื้อถูกใช้งานนาน ๆ เข้า กล้ามเนื้อของเราก็มีแต่จะถดถอยของเหลวบริเวณข้อต่อกระดูกก็จะเหือดแห้งลงไปเรื่อย ๆ และร่างกายก็สะสมสารพิษอย่างกรดยูริกเอาไว้มากขึ้น ๆ ทำให้โรคข้ออักเสบและโรคเกาต์ถามหา แต่อย่าห่วงไปเพราะเราสามารถขับไล่โรคทั้งสองได้ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและสรรพคุณล้างพิษของสตรอเบอร์รี่

- กำราบโรคมะเร็ง
กินสตรอเบอร์รี่ทุกวันเซลล์มะเร็งและเนื้องอกต้องหลีกทางให้แก่สารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซี โฟเลต และแอนโธไชยานินส์ที่มีอยู่มากมายในสตรอเบอร์รี่

- ส่งเสริมการทำงานของสมอง
ยิ่งแก่ยิ่งขี้หลงขี้ลืมเพราะเนื้อเยื่อและเส้นประสาทในสมองเสื่อมสภาพจากอนุมูลอิสระตัวร้าย ซึ่งสตรอเบอร์รี่ช่วยได้เพราะมีวิตามินซี และไฟโตนิวเทรียนต์ ที่ทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ และคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ระบบประสาทแถมยังมีไอโอดีนที่ทำให้สมองและระบบประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

- ลดความดันโลหิต
หากโซเดียมเป็นตัวการทำให้เกิดความดันโลหิตสูง สตรอเบอร์รี่ก็มีโพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยปรับความดันให้เป็นปกติ

- ปราบโรคหัวใจ
ใยอาหาร โฟเลต และสารต้านอนุมูลอิสระมากมายจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมวิตามินบีบางชนิดที่พบได้ในสตรอเบอร์รี่จะเสริมสร้างกล้ามเนื้อหัวใจให้แข็งแรงอีกด้วย

ที่มา : n3k.in.th

น้ำมันมะพร้าวกับกระเทียม

เพิ่มเติมในสิ่งที่หลายคนไม่รู้...ทานน้ำมันมะพร้าวกับกระเทียมเพียง 2-3 กลีบมีประโยชน์มากมายจ้า... 
- กระตุ้นและเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย หยุดยั้งไวรัสและแบคทีเรียต่างๆได้ เช่น หวัด โรคกระเพาะ อาหารเป็นพิษ 
- ช่วยเลือดไหลเวียนดี ละลายลิ่มเลือด ลดความดัน 
- บำรุงตับ สามารถรักษาโรคตับแข็ง ไวรัสตับอักเสบ A,B,C และลดความเป็นพิษต่อตับของเห็ดมีพิษได้
- ป้องกันและบรรเทาปัญหาแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน
- ป้องกันโรคต้อกระจก และโรคตาต่างๆ
- ป้องกันโรคหัวใจ
- โรคเส้นโลหิตในสมองแตก
- เพิ่มการทำงานของวิตามิน C และ E, กลูตาไธโอนและ Q10 และสามารถหมุนเวียนกลับมาใช้ได้อีก
- สามารถปิดสวิทซ์ของรหัสพันธุกรรมที่เร่งขบวนการชราภาพและปิดสวิทซ์การเกิดโรคมะเร็งได้
- ล้างและกำจัดสารพิษในร่างกายได้ดี
- ลดความอ้วน...ฯลฯ
ไม่ยุ่งยากเลย เพียงตั้งใจมีสุขภาพดีแน่นอนทุกคนจ้า....
***มะม่วง ผลไม้หาทานง่าย ให้ประโยชน์***

มะม่วง ผลไม้ยอดฮิตที่นิยมบริโภคตลอดปี ไม่ว่าจะบ้านไหน เรือนไหนก็นิยมปลูกกันไว้ในรั้วบ้าน มะม่วงนอกจากจะนำมารับประทานได้หลายรูปแบบแล้วยังเป็นไม้ยืนต้นที่ให้ร่มเงาได้เป็นอยางดี ส่วนอื่นๆ ก็นำมาใช้ประโยชน์ได้ อาทิ ใบ ดอกมะม่วง มีวิตามินเอและซีสูง และยังมีสารอาหารอื่นๆ อีก เรียกได้ว่า มะม่วงลูกหนึ่งมีสารอาหารเกือบครบเลยทีเดียว โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อาจหายไปได้โดยที่เราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ เพราะมะม่วงก็มีสรรพคุณทางยาสมุนไพรมากเหมือนกัน

สรรพคุณทางยาสมุนไพร
เมล็ดสดๆ มารับประทาน หรือนำมาโรยเกลือ รับประทานเพื่อขับปัสสาวะหรือแก้บวมน้ำ เนื้อในเมล็ดใช้แก้ท้องร่วง ผลมะม่วง นำมาคั้นรับประทานเป็นยาขับปัสสาวะหรือร้อนใน แก้คลื่นไส้ แก้บิดถ่ายเป็นเลือด และใช้เป็นยาบำรุงกระเพาะอาหาร ใบมะม่วง นำมาพอประมาณต้มรับประทานแก้ซางตานขโมยในเด็ก แก้ลำไส้อักเสบ หรือใช้ใบสดๆ ตำพอกบริเวณที่เป็นแผลสด จะเป็นยาสมานแผลสดได้ดีที่เดียว เปลือกลำต้นมะม่วง ใช้เปลือกสดๆ มาต้มรับประทานเป็นยาแก้โรคคอตีบ เยื่อปากอักเสบ จมูกอักเสบ

คุณค่าทางอาหาร
มะม่วงดิบมักออกรสเปรี้ยว เอาไปทำของคาวได้หลายอย่าง ที่เห็นบ่อยมากคือ นำไปจิ้มน้ำพริก ใช้ยำ หรือผสมอาหารที่มีรสเปรี้ยวแทนมะนาว เช่น ยำมะม่วง น้ำพริก ต้มยำ

ในส่วนที่นำไปเป็นของว่างนั้น มะม่วงดิบรับประทานเป็นมะม่วงน้ำปลาหวาน เมี่ยงส้ม มะม่วงสุกที่มีรสหวาน นำมารับประทานกับข้าวเหนียว กวนเป็นแผ่น หรือนำมาคั้นเป็นน้ำผลไม้

มะม่วงอุดมด้วยฟอสฟอรัส และแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟันไม่ให้เปราะหักง่าย นอกจากนั้นยังมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณมาก ช่วนเสริมสร้างภูมิคุ้นกันให้แข็งแรง ป้องกันโรคต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคหวัด และมีวิตามินบี 1 ป้องกันโรคเหน็บชา วิตามินบี 2 ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด