วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

***สตรอเบอร์รี่***

เจ้าผลไม้หน้ากระจุ๋มกระจิ๋มสีสันสดใสนี้นอกจากจะกินอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยประโยชน์ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารอาหารต่าง ๆ ตั้งแต่โฟเลต วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โปรแตสเซียม ไฟโตนิวเทรียนท์ ไฟเบอร์ ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก กรดเอลลาจิก ฯลฯ สตรอเบอร์รี จึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพด้วยสรรพคุณที่เกินพิกัด...

1.ช่วยล้างพิษที่สะสมในร่างกาย เช่น กรดยูริก สาเหตุสำคัญของโรคข้ออักเสบ
ละโรคเกาท์

2.ช่วยให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้นิ่วในไต สีแดงสดของสตรอเบอร์รีล้วนอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยเคลือบทางเดินอาหารอีกด้วย

3.ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองโดยสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยฟื้นคืนความอ่อนเยาว์ให้กับระบบประสาท

4.ช่วยดูแลสายตา สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์มีส่วนช่วยชะลอขบวนการเสื่อสภาพของดวงตาได้

5.ช่วยลดความอ้วน สตรอเบอร์รีคือผลไม้เพื่อการลดน้ำหนักที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์ เพราะปริมาณ 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 49 แคลอรี เท่านั้น และยังอุดมด้วยไฟเบอร์ช่วยให้อิ่มท้องและช่วยระบบการขับถ่าย

6.ช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยดับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น

7.ใบสดของสตรอเบอร์รี ยังสามารถนำมาโขลกแล้วนำไปประคบ ช่วยลดอาการอักเสบและบวมช้ำได้อีกด้วย

ถ้าจะให้ได้ประโยชน์จากสตรอเบอร์รีอย่างสูงสุด ควรรับประทานแบบสดแทนที่จะเป็นแบบแยม เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ยังจะได้น้ำตาลตัวร้ายต่อสุขภาพเป็นของแถม
***น้ำมะเขือเทศปั่น ชื่นใจก่อนสู้กับมะเร็ง***

ต่อต้านอนุมูลอิสระหรือมะเร็ง ผิวพรรณสดใส สิ่งดีๆ ทานง่าย ทำง่าย ให้อร่อย สดชื่น ให้คุณค่านานาประโยชน์

ส่วนผสม 
มะเขือเทศ 50 กรัม (1 ผลใหญ่ถ้าสุกจะดีมาก )
น้ำเชื่อม 15 กรัม
น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (นิดหน่อย)

วิธีทำ
- นำมะเขือเทศล้างให้สะอาด หั่นให้ชิ้นพอประมาณ ใส่ในเครื่องปั่น พร้อมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำสุก ปั่นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบหรือจะใส่น้ำแข็งปั่นลงไปด้วยก็ได้

คุณค่าทางอาหาร : มีเบต้า-แคโรทีน สูงมาก ช่วยต่อต้านมะเร็งและมีวิตามินซี สูงมากเช่นกันป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

คุณค่าทางยา : ทำให้เกิดความสดชื่นแก้กระหายน้ำ ผิวพรรณผ่องใส ช่วยในการย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยฟอกเลือดและป้องกันโรคมะเร็ง
***สับปะรด***

"สับปะรด" ผลไม้ธรรมดาๆ หาทานได้ทั่วไปชนิดนี้ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าสัปปะรดนั้นยังมีสรรพคุณทางยาด้วย เพราะสามารถช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้อย่างชงัด ทั้งนี้เพราะในสับปะรดมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่มีชื่อว่า บรอมีเลน ที่สามารถช่วยย่อยอาหารได้ทั้งในสภาวะเป็นกรดและด่าง จึงเหมาะมากที่จะพาไปช่วยย่อยในกระเพาะซึ่งเป็นกรด ก่อนจะตามไปย่อยต่อในลำไส้เล็กซึ่งเป็นด่าง และถ้าจะให้ดีก็เอาสับปะรดสุกปั่นกั
บมะละกอสุกๆ ชิ้นประมาณเท่าฝ่ามือ ก็จะทำให้ได้เครื่องดื่มที่มีสรรพคุณช่วยย่อยเป็นสองแรง เพราะในมะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติอีกตัว ชื่อ ปาเปน เจอเข้าไปสองขนานก็จะช่วยให้การย่อยมีพลังมากยิ่งขึ้น สามารถดื่มหลังอาหารที่หนักไปทางเนื้อสัตว์ ที่อาจทำให้รู้สึกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อยได้

หลายประเทศมีการสกัดเอนไซม์บรอมีเลนจากสับปะรดไปใช้เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดทุเลาเร็วขึ้น รวมทั้งลดอาการอักเสบ แผลบวมหรืออาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา รวมทั้งมีการทดลองใช้บรรเทาอาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร อาการเกี่ยวกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูก และข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าท์ และอาการปวดประจำเดือน นอกจากนี้มีงานวิจัยที่พบด้วยว่า ด้วยฤทธิ์ย่อยโปรตีนอย่างเป็นธรรมชาติของบลอมีเลนนี่เอง ที่ทำให้เมื่อบรอมีเลนดูดซึมเข้ากระแสเลือดอาจช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือดใหนหลอดเลือดแดง ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกหลายชนิด สับปะรด ผลไม้ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
***แกงกล้วยดิบ ดีต่อลำไส้***

แกงกับน้ำพริกแกงใต้ ทำให้ได้กล้วยเนื้อแน่นหนึบเคี้ยวมัน เข้ากันได้ดีเหลือเกินกับน้ำแกงรสสะเด็ดยาด

เรื่องประโยชน์ก็โดดเด่น เพราะกล้วยดิบเป็นอาหารที่ช่วยสร้างสมดุลแก่กระเพาะอาหารและลำไส้ ตามหลักการกินอาหารเป็นยาของคนโบราณบอกเคล็ดลับไปหมดแล้ว แกงหม้อนี้ ก็เป็นเรื่องกล้วยๆ ที่อยากให้ลองทำกินกัน

ส่วนผสม
กล้วยดิบปอกเปลือกเขียวออก (หั่นแว่นแช่น้ำเกลือ) 5-6 ผล
กุ้งแกะเปลือก ผ่าหลัง ชักเส้นดำออก 6-7 ตัว (ไม่ใส่กุ้งก็ได้)
น้ำพริกแกงใต้ 3 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเต้าหู้ 2 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 4-5 เม็ด
ใบมะกรูดฉีก 5-6 ใบ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ½ ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. โขลกกะปิรวมกับน้ำพริกแกงจนเข้ากันดี
2. รวนน้ำพริกแกงกับน้ำมัน จนหอมและแตกมัน
3. ค่อยๆ ใส่น้ำเต้าหู้ลงไป คนให้เข้ากัน รอจนเดือด
4. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ชิมรส
5. ใส่กล้วย รอจนกล้วยสุก สังเกตว่ากล้วยจะออกสีคล้ำเล็กน้อย
6. ใส่กุ้งตามลงไป รอจนน้ำแกงเดือด
7. ใส่พริกชี้ฟ้า และใบมะกรูด ปิดไฟ ตักใส่ชาม พร้อมเสิร์ฟ

Tips
1. การปอกเปลือกกล้วยให้แกงกินอร่อย อย่าปอกเปลือกออกหมดจนเหลือแต่เนื้อกล้วย ให้ปอกเอาแต่ผิวเปลือกสีเขียวด้านนอกออก และเหลือเปลือกกล้วยด้านในติดอยู่กับผล
2. กล้วยเล็บมือนาง ใช้ทำแกงกล้วยได้อร่อยที่สุ
3. โขลกกะปิรวมกับน้ำพริกแกงใต้ ทำให้น้ำพริกแกงหอมอร่อยยิ่งขึ้น

แกงนี้สามารถปรับเปลี่ยนสูตรและส่วนผสมให้เป็นแบบมังสวิรัติได้นะครับ

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

***ดอกขจร (ดอกสลิด)***

ดอกขจร อีกหนึ่งสมุนไพรที่จัดว่ามีคุณค่าที่ช่วยรักษาอาการต่าง ๆ ได้ดีทีเดียว และวันนี้เราก็นำ สรรพคุณของดอกขจร และ ประโยชน์ของดอกขจร มาบอกคุณ ๆ ผู้รักสุขภาพกันอีกเช่นเคยดอกขจรส่วนใหญ่นั้นจะนำมาลวกน้ำร้อนจิ้มกินกับน้ำพริกเป็นส่วนใหญ่ ใครที่ชอบกินดอกขจรเป็นประจำนับว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายของคุณมากมายทีเดียว นั้นเรามาดู สรรพคุณของดอกขจร และ ประโยชน์ของดอกขจร กันเลยดีกว่า

*คุณค่
าทางอาหารของดอกขจร*
ทั้งยอดอ่อน ผลอ่อน และดอกของขจรสามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะใช้เป็นผักต้มหรือผักลวกจิ้มน้ำพริกหรือทำเป็นอาหารอื่น ๆ เช่น แกงส้มดอกขจร ยำดอกขจร แกงจืดดอกขจร ข้าวต้มดอกขจร เป็นต้น และส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุดคือส่วนยอดอ่อน ทั้งนี้ดอกขจรมีคุณค่าวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง

ยอดอ่อนและดอกขจรในปริมาณ 100 กรัม มีวิตามิน แร่ธาตุต่าง ๆ คือวิตามินเอ มากถึง 3,150 I.U. วิตามินซี 45 มิลลิกรัม แคลเซียม 70 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 90 มิลลิกรัม


สรรพคุณของดอกขจร และ ประโยชน์ของดอกขจร
- ยอดอ่อน ดอก ลูกอ่อน บำรุงธาตุ บำรุงตับ ปอด แก้เสมหะเป็นพิษ ราก ทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา

- มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน รักษาหวัดที่เกิดจากการตากลมหรืออากาศเย็น ช่วยบำรุงตับ บำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุงฮอร์โมนของสตรี ช่วยขับเสมหะ และแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ

- ราก เป็นเครื่องยาสมุนไพรใช้หยอดรักษาตา อีกทั้งมีสรรพคุณทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา ดับพิษได้


***สูตรน้ำผักผลไม้ล้างพิษ…ทำเองได้ไม่ยาก***

เครื่องดื่มสีเขียวมรกตแก้วนี้ มีสรรพคุณสุดยอดในการล้างพิษ “ผักใบเขียว” จะฟื้นฟูตับที่อ่อนล้า “ผักชีฝรั่ง” มีฤทธิ์ขับปัสสาวะอ่อน ๆ ให้สังกะสีและเกลือแร่ บำรุงตับ “ขึ้นฉ่าย” ช่วยทำความสะอาดตับ ระบบน้ำเหลืองและยังช่วยระบบย่อยอาหารอีกด้วย “แอปเปิ้ล” ช่วยในการขับถ่ายและล้างพิษออกจากลำไส้ใหญ่ได้ดี นอกจากนั้นยังพบว่าแอปเปิ้ลมีสารฟลาโวนอยด์และสารออกซิแดนท์สูง ช
่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและมะเร็ง

ส่วนผสม
บรอกโคลี 100 กรัม
คะน้า 100 กรัม
ผักชีฝรั่ง 25 กรัม
แอปเปิ้ล 200 กรัม
ขึ้นฉ่าย 50 กรัม (หรือเซเลอรี่)

วิธีทำ
1. คั้นน้ำผักบรอกโคลี คะน้า ผักชีฝรั่ง แอปเปิ้ลและขึ้นฉ่าย ด้วยเครื่องแยกกาก
2. นำน้ำผักที่ได้มาผสมรวมกันทั้งหมด
3. เสิร์ฟเครื่องดื่มพร้อมใส่น้ำแข็งก้อน เพื่อเป็นเครื่องดื่มเย็น
4. ตกแต่งด้วยใบคะน้า หรือผักชีฝรั่ง ตามใจชอบ

*ข้อห้ามในการล้างพิษ*
น้ำหนัก ตัวของคุณต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน
ตั้งครรภ์หรืออยู่ระหว่างการให้นมบุตร
เป็นโรคเบาหวานประเภทที่หนึ่ง
อยู่ระหว่างการรับยารักษาโรคไต
เป็นโรคตับขั้นรุงแรง

ที่มา : tlcthai.com/women

***กุยช่าย***

กุยช่าย อีกหนึ่งผักที่มีประโยชน์และสรรพคุณมาก ๆ จัดได้ว่าเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรที่ช่วยรักษาได้หลายโรคเลยทีเดียว

คุณค่าทางอาหารของกุยช่าย
ต้นกุยช่าย 100 กรัม ให้พลังงาน 28 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย ไขมัน 0.3 กรัม คาร์โบไฮเดรต 4.1 กรัม แคลเซียม 98 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 46 มิลลิกรัม เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 136.79 ไมโครกรัม เส้นใย 3.9 กรัม

ดอกกุยช่าย 100 กรัม ให้พลังงาน 38 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย ไขมัน 0.2 กรัม คาร์โบไฮเดรต 6.3 กรัม แคลเซียม 31 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 62 มิลลิกรัม เกล็ก 1.6 มิลลิกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม เบต้า-แคโรทีน 152.92 ไมโครกรัม เส้นใย 3.40 กรัม

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของกุยช่าย
- ต้นและใบ ใช้แก้โรคนิ่วโดยนำมาดตำให้ละเอียดผสมกับเหล้าและสารส้มเล็กน้อยกรองเอาน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา เป็นยาแก้หวัด บำรุงกระดูก ทาท้องเด็ก แก้ท้องอืด และแก้ลมพิษ สตรีหลังคลอด หากกินแกงเลียงใบกุยช่ายจะช่วยเพิ่มน้ำนม

- เมล็ด เป็นยาขับพยาธิเส้นด้ายและพยาธิแส้ม้า นอกจากนี้กุยช่ายยังให้กากอาหารช่วยสร้างสมดุลแก่ระบบย่อยอาหารช่วยให้ท้องไม่ผูก

- แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับลม และแก้ท้องผูก โดยใช้ใบสดตำให้ละเอียดคั้นเอาแต่น้ำดื่มหรือนำไปผัดรับประทาน เพราะกุยช่ายมีใยอาหารมากจึงช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวได้ดี

- แก้อาการฟกช้ำ โดยใช้ใบสดตำละเอียดแล้วพอกบริเวณที่มีอาการเพื่อบรรเทาปวดและแก้อาการห้อเลือดได้

- แก้อาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย โดยใช้เมล็ดแห้งต้มรับประทานหรือจะทำเป็นยาเม็ดรับประทานก็ได้

- รักษาโรคหูน้ำหนวก โดยใช้น้ำที่คั้นได้จากใบสดทาในรูหู

- บำรุงน้ำนม คนไทยโบราณเชื่อว่า แม่ลูกอ่อนกินแกงเลียงใส่ผักกุยช่ายจะช่วยบำรุงน้ำนมได้ดี

ตำรับยาที่ใช้ได้แก่ หากถูกตีฟกช้ำเอากุยช่ายสดตำให้แหลกพอกบริเวณที่เป็นจะสามารถแก้อาการฟกช้ำ ห้อเลือดและแก้ปวดได้ หรือเวลาที่เป็นแผลมีหนองเรื้อรัง ใช้ใบสด ๆ ล้างให้สะอาดพอกที่แผลหรืออาจผสมดินสอพองในอัตราส่วนใบกุยช่าย 3 ส่วน ดินสองพอง 1 ส่วน บดให้ละเอียดจนเหลวข้นแล้วทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง ในกรณีที่บวมฟกช้ำเนื่องจากถูกกระแทก

ส่วนคนที่เป็นแผลริดสีดวงทวารก็แนะนำให้ใช้ใบกุยช่ายสด ๆ ใส่น้ำต้มให้ร้อน จากนั้นนั่งเหนือภาชนะเพื่อให้ไอรมจนน้ำอุ่นหรือใช้น้ำต้มล้างที่แผลวันละ 2 ครั้ง หรือจะใช้ใบหั่นฝอยคั่วให้ร้อนใช้ผ้าห่อมาประคบบริเวณที่เป็นจะทำให้หัวริดสีดวงหดเข้า

นอกจากฤทธิ์ลดการอักเสบและฆ่าเชื้อแล้วยังเชื่อว่า ถ้าแมลงหรือตัวเห็บเข้าหูให้เอาน้ำคั้นกุยช่ายหยอดเข้าไปในหูจะทำให้แมลงหรือเห็บไต่ออกมาเองในกรณีนี้ห้ามใช้นิ้วหรือของแข็งแคะออก

กุยช่ายยังเป็นสมุนไพรที่ผู้หญิงควรรู้จักสรรพคุณในการใช้เป็นอย่างยิ่ง คือ ถ้าเมื่อใดมีอาการตกขาวคนจีนแนะนำให้เอาต้นกุยช่าย ไข่ไก่ น้ำตาลอ้อย ต้มรับประทาน เมื่อผู้หญิงเริ่มท้องก็ควรรับประทานใบกุยช่ายผัดกับตับหมู เมื่อท้องมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร เอาน้ำคั้นกุยช่ายครึ่งถ้วยและน้ำขิงอีกครึ่งถ้วยผสมกันและนำไปต้มจนเดือดแล้วเติมน้ำตาลตามใจชอบดื่นน้ำยาที่ได้

ถึงตอนคลอดมีอาการหมดสติเขาจะใช้ใบกุยช่ายสดสับให้ละเอียดใส่ในเหล้าที่ต้มเดือดแล้วกรอกเข้าไปในปาก หรือเมื่อหลังคลอดมีอาการวิงเวียนจะใช้ใบกุยช่ายสับละเอียดเอาใส่ขวดเติมน้ำส้มสายชูร้อน ๆ ลงไปแล้วใช้สูดดมแก้วิงเวีย

คนไทยเราเองเมื่อคลอดลูกแล้วคนโบราณว่า แม่ลูกอ่อนรับประทานผักหอมแป้น (กุยช่าย) แกงเลียงจะช่วยบำรุงน้ำนม ในกรณีที่มดลูกหย่อนหลังมีลูกก็ให้ใช้ใบสด ๆ ประคบหรือเอามาล้างที่อวัยวะเพศภายนอก

จะเห็นว่าสรรพคุณของกุยช่ายมีมากมายเหมาะกับทั้งท่านชายและท่านหญิง ท่านชายที่มีปัญหาหมดสมรรถภาพทางเพศหรือหลั่งเร็วกำลังเตรียมจะหาซื้อยาไวอากราก็น่าลองใช้สมุนไพรกุยช่ายดูบ้าง ไม่มีผลข้างเคียงอะไรทั้งยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย
หรือท่านหญิงที่กำลังท้องกำลังไส้ มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ลองหันมาทำยาแก้แพ้ท้องที่แสนจะปลอดภัยและให้ประโยชน์กันดูบ้าง

ที่มา : women community

วันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2555

*** ตารางการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ***

หากคุณคิดว่าการดื่มน้ำเป็นเรื่องไม่สำคัญ คุณไม่ผิดหรอกครับที่คิดอย่างนั้น แต่หากคุณอยากมีสุขภาพที่ดีลองทำตารางนี้ก็คงไม่เสียหายใช่มั้ยครับ 

น้ำที่ควรดื่มควรเป็นน้ำธรรมดาไม่เป็นน้ำที่ร้อนมากหรือที่เย็นจัด แต่ถ้าเป็นน้ำอุ่นๆ เล็กน้อยก็ควรดื่มในตอนเช้าเพราะจะให้การขับถ่ายของคุณดีขึ้น ลำไส้สะอาด หากไม่เชื่อลองทำดูสิครับ 

ระยะเวลาที่ดื่มน้ำ ใน 1 วัน อาจจะเปลี่ยนแปลงตารางให้เหมาะกับคุณเอง แต่ไม่ควรเปลี่ยนมากนะครับ เพราะอาจจะทำให้ตัวคุณเองสับสน

............................................

ตื่นนอนตอนเช้า ดื่มน้ำ 1 แก้ว
ตอนสาย ดื่มน้ำ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9.00 – 10.00 น)
ตอนบ่าย ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 13.00 – 14.00 น)
ตอนเย็น ดื่มน้ำ 3 แก้ว (เวลาประมาณ 19.00 – 20.00 น)
ก่อนเข้านอน ดื่มน้ำ 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ถ้าเป็นน้ำอุ่นจะช่วยให้หลับสบายดีขึ้น รวมแล้วให้สามารถดื่มน้ำเปล่าได้วันละ 10 แก้ว นอกเหนือจากนั้น ท่านสามารถดื่มน้ำผลไม้, น้ำนม ฯลฯ ได้อีกไม่จำกัด
.............................................

*ข้อควรจำ*
ไม่จำเป็นต้องดื่มครั้งละ 2 – 3 แก้วติดต่อกันทันที ดื่มตามปรกติสบายๆ ผู้ที่ทำตามครั้งแรก ๆ อาจรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อย เป็นอาการปรกติธรรมดา ทั้งนี้เพราะผนังลำไส้ และกระเพาะอาหารขยายตัวขึ้นหากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะไม่มีอาการอีก สามารถดื่มได้ง่ายและเกิดความเคยชิน สดชื่น สบายที่ได้ดื่มน้ำมากๆ

ระยะแรก จะเกิดการปัสสาวะบ่อย ครั้งแรกๆ จะมีสีเหลืองข้นขุ่นกลิ่นฉุน เนื่องจากน้ำที่ดื่มไปชะล้างไตให้สะอาด ซึ่งไตเป็นเสมือนเครื่องกรองน้ำของร่างกาย ขจัดสิ่งตกค้างให้ออกไป

ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนที่จะรับประทานอาหาร ( ควรงดดื่มน้ำมากสักครึ่งชั่วโมงก่อนรับประทานอาหาร) และหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ก็ไม่ควรดื่มน้ำมากๆ ทันที ในระหว่างการรับประทานอาหารไม่ควรดื่มน้ำตลอดเวลา เพราะการดื่มน้ำมากในระหว่างรับประทานอาหารจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจาง การย่อยเป็นไปได้ไม่ดี

การทานอาหารในแต่ละมื้อไม่ควร อิ่มจนแน่นท้องเกินไปควรให้อิ่มพอดีแล้วรับประทานผลไม้สดจะทำให้สะอาดคอ แล้วจิบน้ำตามนิดหน่อยท่านจะรู้สึกสบายท้องหลังจากนั้นสักครึ่งชั่วโมง จึงดื่มน้ำตามปรกติ 
***10 วิธีกินอย่างฉลาด***

ทราบหรือไม่ว่า วิธีกินอย่างฉลาดต้องปฏิบัติอย่างไร วันนี้เรามีมาฝาก…

1. กินพออิ่มด้วยการตักอาหารกะปริมาณพอดี เช่น ข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผัก 4-6 ช้อน และน้ำสะอาด 1-2 แก้ว
2. ไม่กินทิ้งกินขว้าง
3. เลือกอาหารดีมีคุณค่าราคาถูก อาหารประเภทโปรตีนอาจใช้เต้าหู้หรือถั่วเมล็ดแห้งผสมรวมกับเนื้อสัตว์ เลือกกินอาหารที่มีในท้องถิ่น ผักพื้นบ้านที่หาง่าย
4. กินผักผลไม้ไทยแทนของหวาน โดยเฉพาะผลไม้ตามฤดูกาลจะมีราคาถูกและไม่มีน้ำตาลกะทิ ทำให้อ้วน
5. ลดการกินจุบจิบ
6. ดื่มน้ำเปล่าดีที่สุด ลดหรืองดเครื่องดื่มที่มีรสหวานต่าง ๆ
7. กินอาหารไทยจะมีราคาถูกและได้รับคุณค่าทางอาหารครบถ้วน
8. ลดการสั่งอาหารราคาพิเศษ เช่น การเพิ่มลูกชิ้น ข้าวหรือกับข้าว จะสิ้นเปลืองและทำให้อ้วน
9. งดการกินอาหารมื้อดึก
10. เคี้ยวอาหารช้า ๆ อย่ารีบร้อน จะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า เพราะร่างกายของคนเราจะอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที

รู้อย่างนี้แล้ว หันมากินอาหารอย่างฉลาดกันดีกว่า ได้ทั้งประหยัดแถมสุขภาพยังดีอีกด้วย
***10 ข้อผิดพลาดของการรับประทานอาหารผิดวิธี***
สำหรับผู้ป่วยต้องการลดน้ำหนัก

ข่าวคราวจาก เอบีซีนิวส์ ดอท คอม รายงานว่า ลินดา บลาร์เจสกี้ นักโภชนาการ ที่มหาวิทยาลัยโอเรกอน และ เอบบี้ นักโภชนาการจากศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยในรัฐอริโชนาของสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาข้อมูล และสรุปถึงข้อปฏิบัติที่ผิดพลาด 10 ข้อสำหรับการรับประทานอาหาร สำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เรามาดูกันว่าจะตรงกับคนไทยบ้างหรือไม่

1. เลือกรับประทานแต่อาหารที่ชอบ
การเลือกรับประทาน แต่ที่ชอบโดยไม่ระมัดระวัง จะทำให้ รับประทานอาหารนั้นต่อไปได้เรื่อย จนลืมว่าเราต้องการลดน้ำหนั

2. อดอาหารมากเกินไป
หากมัวเข้มงวดในการควบคุม แคลอรี่ในร่างกายมากเกินไป ก็จะยิ่งเป็นการกระตุ้น ให้ร่างกายเกิดความหิว และอยากอาหารมากขึ้น ซึ่งอาจจะทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล

3. ไม่มีจุดยืนหรือเป้าหมายที่แน่ชัด
หากอยากลดน้ำหนัก ด้วยการควบคุมอาหาร ก็ควรตั้งเป้าหมายไว้ เช่น เขียนไว้ในบันทึกว่า จะลดน้ำหนักลงเท่าไร อย่างไร และกระทำตามนั้น แต่เป้าหมายดังกล่าว ต้องเป็นเป้าหมายที่เราทำได้ด้วย

4. ดื่มเครื่องดื่มที่มี แคลอรีสูง
การดื่มไวน์แดง ร่วมกับการรับประทานอาหารค่ำ การดื่มนมไร้ไขมัน หรือน้ำผลไม้ระหว่างวัน ก็ให้แคลอรีสูง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อการลดน้ำหนัก ดังนั้น ผู้ที่ลดน้ำหนัก จึงควรดื่มน้ำเปล่าดีกว่า หรืออาจจะเป็นน้ำมะนาวก็ได้

5. ไม่ยอมออกกำลังกาย
ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก จะต้องจำไว้ว่า สิ่งสำคัญในการลดน้ำหนักให้ได้ผล คือ ต้องเพิ่มจำนวนแคลอรี่ที่ใช้ในร่างกาย ซึ่งการบริหารร่างกาย จะมีส่วนช่วยให้เกิดการใช้แคลอรี่มากขึ้น

6. ความเครียด
เป็นอุปสรรคสำคัญของการลดน้ำหนัก บางคนลดไม่ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเครียดจัด อาจกลับมารับประทานอาหารมากขึ้น

7. ให้รางวัลกับตนเองด้วยอาหาร
บางคนลืมตัวไปว่ากำลังควบคุมอาหาร พอเห็นว่าแผนลดน้ำหนักเริ่มได้ผล ก็เริ่มรับประทานอาหารมากขึ้น นักวิจัยบอกว่า น่าจะให้รางวัล โดยการลดอาหารดูบ้าง

8. การเลี่ยนแปลงตนเองมากเกินไ
เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่ทำให้การลดน้ำหนักไม่ได้ผล คือการเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง มากเกินไปในเวลาเดียวกัน เช่น เป็นคนชอบรับประทานเนื้อสัตว์มากๆ แต่หันมาเปลี่ยนเป็นมังสวิรัติในเวลาอันสั้น

9. ไม่ยอมเปลี่ยนความคิดใหม่
ควรคิดอยู่เสมอว่า การลดน้ำหนักเพื่อทำให้สุขภาพดี ทำให้เราอยากเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง

10. ทำตัวแบบเดิม
บางคนไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอาหารการกิน หรือเปลี่ยนแปลงการทำกิจกรรม ถ้าลองเปลี่ยนแปลงแปลงอาหารการกิน การทำกิจกรรม และการดำเนินชีวิตดูบ้าง ก็จะสามารถรักษารูปร่าง และสุขภาพของตนเองไว้ได้

ที่มา : tlcthai.com/woman

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

***วิธีล้างผักแบบต่าง ๆ***

1) โซดาทำขนมปัง
ใช้โซดาทำขนมปัง(โซเดียมไบคาร์บอเนต) 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่น 20 ลิตร(1 กาละมัง)แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษได้ 90-95 %

2)น้ำส้มสายชู
เตรียมน้ำส้มสายชู 0.5 % โดยใช้น้ำส้มสายชู อสร. 1 ขวดผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 60-84 %

3)น้ำไหล
เด็ดผักเป็นใบๆ ใส่ตะกร้าโปร่ง เปิดน้ำไหลแรงพอประมาณ ใช้มือช่วยคลี่ใบผัก ล้างนาน 2 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 54-63 %


4)แช่น้ำ
ล้างผักรอบแรกให้สะอาด เด็ดผักออกเป็นใบๆ แช่ในอ่างน้ำนาน 15 นาที ลดสารพิษฆ่าแมลงได้ 7-33 %

5)ลวกผัก
ลวกผักด้วยน้ำร้อนลดสารพิษได้ 50 % ส่วนการต้มนั้นลดสารพิษได้ 50 % เช่นเดียวกัน แต่จะมีสารพิษตกค้างในน้ำแกง จึงควรล้างผักลดสารพิษก่อนทำแกง

6)ปอกเปลือก
การปอกเปลือก หรือลอกใบชั้นนอกออก เช่น กะหล่ำปลี ฯลฯ ช่วยลดสารพิษลงได้

7)คลอรีน
ผสมผงปูนคลอรีน ½ ช้อนชากับน้ำ 20 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 15-30 นาทีจะฆ่าเชื้อโรคได้ดีมาก

8)ด่างทับทิม
ผสมด่างทับทิม 5 เกล็ดต่อน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้

9)น้ำปูนใส
เตรียมน้ำปูนใสอิ่มตัวผสมน้ำเท่าตัว แช่ผักทิ้งไว้

10)น้ำเกลือ
ใช้เกลือ 2 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้

11) น้ำซาวข้าว
ใช้น้ำซาวข้าวล้างผัก

คำแนะนำ:

* น้ำไหล
วิธีใช้น้ำไหลล้างผักค่อนข้างเปลืองน้ำ ถ้าเป็นไปได้, ควรเก็บน้ำล้างผักไว้รดต้นไม้ หรือใช้ทำประโยชน์อย่างอื่น

* การล้างผลไม้
การล้างผลไม้โดยใช้น้ำยาล้างจานกับฟองน้ำ(หรือสก๊อตไบรต์)เบาๆ ช่วยลดโอกาสติดเชื้อโรคที่อยู่บริเวณผิวของผลไม้ได้ การล้างเปลือกไข่ก่อนทำอาหารก็ใช้วิธีนี้ได้

* น้ำล้างจาน
น้ำยาล้างจานมีสารคล้ายสบู่ เป็นสารประกอบกำมะถัน ซึ่งพืชผักใช้เป็นปุ๋ยได้ดีมาก สารคล้ายสบู่มีฤทธิ์ทำให้ดินร่วน ไม่จับตัวกันแน่น รากของพืชผักจะชอนไชไปหาอาหารได้ดีขึ้น

* น้ำซักผ้า
ผงซักฟอกมีสารคล้ายสบู่ เป็นสารประกอบฟอสฟอรัส(P) ใช้เป็นปุ๋ยรดพืชผักได้ เวลาใช้ควรใช้แต่น้อย หรือทำให้เจือจางก่อนรด ปุ๋ยจากน้ำซักผ้ามีฤทธิ์เร่งดอกไม้ได้คล้ายกับปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูง น้ำยาซักผ้าหลายชนิดไม่ได้ใช้เกลือฟอสฟอรัส หันไปใช้เกลือกำมะถันแทน ใช้เป็นปุ๋ยบำรุงพืชผักได้ แต่จะไม่มีคุณสมบัติเร่งดอกได้เท่าปุ๋ยจากผงซักฟอก

ที่สำคัญที่สุดการล้างผักต้องล้างให้สะอาดจริง ๆ ทั้งด้านหน้าใบและหลังใบ รวมถึงในซอกหลืบของก้านเพราะไม่เพียงแต่สารเคมีเท่านั้นที่เป็นโทษกับเรา ทั้งนี้รวมถึงไข่พยาธิที่ตาเราไม่สามารถมองเห็นได้อีก และการปรุงสุกก็เป็นการฆ่าเชื้อที่ดีอีกอย่างหนึ่ง

ที่มา : วารสารหมอชาวบ้าน
***ผักหวานป่า***

ผักหวานป่าจัดเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านแหล่งโปรตีน วิตามินซี และพลังงาน นอกจากนี้ยังมีปริมาณเยื่อใยพอสมควร ช่วยในการขับถ่ายให้ดีขึ้น ในยอดและใบสดที่รับประทานได้ 100 กรัม ประกอบด้วยน้ำ 76.6 กรัม โปรตีน 8.2 กรัม คาร์โบไฮเดท 10 กรัม เยื่อใย 3.4 กรัม เถ้า 1.8 กรัม แคโรทีน 1.6 มก. วิตามินซี 115 มก. และค่าพลังงาน 300 กิโลจูล (KJ) อย่างไรก็ตามการบร
ิโภคผักหวานป่าควรปรุงให้สุกเสียก่อน เนื่องจากการบริโภคสด ๆ ในปริมาณมากอาจทำให้เกิดการเบื่อเมา เป็นไข้ และอาเจียนได้ การนำผักหวานป่ามาปรุงอาหารนั้น ใช้ได้ทั้งส่วนที่เป็นยอดและใบอ่อน นำช่อผลอ่อน ๆ สำหรับผลแก่อาจลอกเนื้อทิ้งนำเมล็ดไปต้มรับประทานได้เช่นเดียวกับเมล็ดขนุน มีรสหวานมัน การปรุงอาหารจากผักหวานป่า นอกจากต้ม ลวก เป็นผักจิ้มน้ำพริกแล้ว อาจนำไปทำแกง แกงเลียง หรือต้มจืดได้เช่นกัน

ผักหวานป่าเป็นเครื่องยาไทยจำพวกผัก จะใช้ส่วนรากมาทำยา รากมีรสเย็น สรรพคุณ แก้ไข้ แก้ดีพิการ แก้เชื่อมมัว แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้กระสับกระส่าย พบว่าผักหวานป่าจัดเป็นทั้งอาหารและยาประจำฤดูร้อน แก้อาการของธาตุไฟได้ตามแพทย์แผนไทย ส่วนยอดก็นิยมนำมาปรุงอาหาร มีรสหวานกรอบ ช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ และระบายความร้อนหรือใช้ปรุงเป็นยาเขียวเพื่อลดไข้ ลดความร้อน ปัจจุบันพบว่ามีการนำมาพัฒนาเป็นชาผักหวานป่า ทำเป็นเครื่องดื่มต้านอนุมูลอิสระ

***เคล็ดวิชาจากแม่สอนไว้ว่า...วิธีทดสอบผักหวานว่าเป็นพิษหรือไม่โดยการใส่เมล็ดข้าวสารประมาณหยิบมือลงไปปรุงอาหารด้วย ถ้าเมล็ดข้าวสารไม่สุกพองหรือบานเมล็ดออกและ/หรือเมล็ดข้าวสารที่สุกนั้นเปลี่ยนสีจากสีขาวเป็นสีออกดำ/เทาแล้วแสดงว่าผักหวานป่านั้นเป็นพิษ ห้ามรับประทาน*** 
***อาหารทานแล้วไม่แก่***

1. หยุดผมร่วง ด้วยการรับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี สามารถช่วยป้องกันผมร่วงได้ดี หากรับประทานกล้วยในปริมาณที่พอดี จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่หนังศีรษะได้อย่างยาวนาน

2. ลดผิวมัน ธัญญาหารล้วนอุดมไปด้วยวิตามินบี 2 ซึ่งช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของผลิตภายในร่างกาย ฉะนั้น การรับประทานธัญญาหารทุกเช้าจะช่วยลดปัญหาผิวมัน และเส้นผมมันบางได้ดี

3.หยุดการลอกของผิวหนัง หากรับประทานปลาแซลมอนในเกลือรมควัน อาหารทะเล หรือสลัดผักเป็นประจำ จะช่วยทำให้หยุดปัญหาการหลุดลอกของผิวหนังได้

4.ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก ใครอยากมีผิวที่เนียนใสเหมือนเด็กทารก ให้กินมะม่วงเป็นประจำ เนื่องจากมะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี ช่วยกระตุ้นการสร้างผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะ เพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระให้กลับมีความชุ่มชื่น และนุ่มเนียนอีกครั้ง

5. ชะลอผมหงอก ถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหาร สามารถช่วยชะลอผมหงอกได้ เพราะถั่วลิสงมีวิตามินบี ที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลา แถมยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นด้วย

6. ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี ฝรั่งหรือน้ำฝรั่ง ซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี จะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้อื่น ๆ เป็นประจำ ก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีได้ ทำให้คุณดูอ่อนกว่าวัยมากถึง 5 ปี

7. ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ อะโวคาโด ซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี จะช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่าง ๆ รวมทั้งการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษด้วย
***อาหาร "แดช" ลดความดันโลหิตสูงได้***

ใครว่า การรักษาความดันโลหิตสูงต้องพึ่งพายาหมอเท่านั้น ยังมีเรื่องใกล้ ๆ ตัว อย่าง อาหาร ที่เลือกให้ดีก็ช่วยลดความดันได้

อาหารเหล่านั้น เรียกกันว่า แดช (DASH : Dietary Approach to Stop Hypertension) เป็นกลุ่มของอาหารที่มีเกลือโซเดียมต่ำ ให้สารอาหารที่สำคัญอย่าง โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแคลเซียม ช่วยขยายหลอดเลือด ลดความดันโลหิต โดยผลการวิจัยในสหรัฐ พบว่า ผู้ท
ี่มีภาวะความดันโลหิตสูง แล้วรับประทานอาหารแดชต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ ความดันลดลงกว่าร้อยละ 70

การรับประทานอาหารที่ให้คุณค่าตรงตามคอนเซ็ปต์แดช เพียงแค่เปลี่ยนจากข้าวสวยขาว ๆ หันไปรับประทานข้าวไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง รวมถึงธัญพืชไม่ขัดสีหรือขัดสีน้อย ที่เรียกทับศัพก๋ ๆ ว่า โฮล เกรน หากไม่สามารถเลี่ยงข้าวสวย ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน ก็ให้ทานไม่เกิน 2 ทัพพีต่อมื้อ 3 มื้อต่อวัน

เน้นรับประทานผักใบเขียว ถั่วเปลือกแข็ง และผลไม้ขนาดกลางให้มาก ๆ ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ อาหารไขมันสูง รสเค็ม อาทิ น้ำมันหมู น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม บ๊วย ไข่เค็ม ปูดอง ปลาร้า เนื้อเค็ม เนื้อสัตว์ติดมัน งดปรุงรสชาติอาหารด้วยผงชูรส สามารถเติมเกลือ น้ำปลา ซีอิ้ว หรือซอสปรุงรส แต่ต้องไม่มากเกิน 2/3 ช้อนชาต่อวัน

จำกัดปริมาณน้ำมันที่ใช้ทำอาหาร ควรใช้น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก น้ำมันเมล็ดทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง ดื่มนมถั่วเหลือง นมไขมันต่ำ หรือนมเปรี้ยว กินปลาทะเล

ย้ำเตือนส่งท้ายใจความของอาหารแดช คือ ไม่กินของเค็ม อาหารไขมันสูง ทั้งต้องงดดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี โรคภัยไม่มี ชีวิตจะมีความสุข หรือ "คุณไม่รักตัวเอง"