วันเสาร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

*** มาทำน้ำมะระปั่นกันเถอะ ***

มะระ เป็นผักผลผิวขรุขระ ที่มีรสขม เน้นที่มะระจีน เพราะเนื้อมะระจีนนี้ประกอบด้วยวิตามินซี วิตามินบีรวม และเกลือแร่ชนิดต่าง ๆ เหตุที่เนื้อมะระมีรสขม เพราะ มีสารอัลคาร์ลอยด์ชื่อ โมโมดิดิน ช่วยทำให้เจริญอาหาร และเป็นยาระบายอ่อน ๆ สามารถต้านเชื้อไวรัส แถมล่าสุดผลการวิจัยค้นพบว่า มะระขี้นก (ผลเล็ก ๆ ที่แนมกับน้ำพริก )ช่วยต้านเชื้อไวรัส H I V ได้อีกด้วย เรามาดูวิธีทำน้ำมะระปั่นกัน (จำนวน 3แก้ว)

ส่วนผสม
1.เนื้อมะระสดหั่นชิ้น 2 ถ้วย
2.น้ำส้มคั้น 1/2 ถ้วย
3.น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
4.น้ำเชื่อม 3 ช้อนโต๊ะ
5.เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
6.น้ำต้มสุกแช่เย็น 1 ถ้วย
7.น้ำแข็งบดละเอียด 1 ถ้วย

ขั้นตอนการทำ
1.เลือกมะระจีนแก่จัด ดูที่เปลือกสีเขียวอมขาว ล้างน้ำให้สะอาด
2. ผ่าเอาเม็ดออก หั่นเป็นชิ้นนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด เพื่อลดความขมและกลิ่นเหม็นเขียว
3.เมื่อเย็นได้ที่ นำส่วนผสมทั้งหมดปั่นเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้วแล้วดื่ม สูตรนี้ทานแล้วจะช่วยชะลอความแก่ได้อีกด้วย
*** ซุปถั่วแดงป้องกันเหน็บชา ***

เมื่อไหร่ที่เป็นเหน็บชา ไม่ว่าจะที่แขนหรือขา ย่อมส่งผลให้เคลื่อนไหวไม่สะดวก บางครั้งต้องรอให้เหน็บชาหายจึงจะขยับแขนหรือขาได้ถนัด

สาเหตุของเหน็บชา เกิดจากการกดทับ เช่น นอนทับแขน นั่งพับเพียบหรือนั่งท่าขัดสมาธิ ซึ่งท่าทางดังกล่าวมักทำให้เกิดการกดทับจนเส้นเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสไปยังเนื้อเยื่อและเส้นประสาท ดังนั้น เมื่อเส้นประสาทไม่อาจสื่อสารไปยังสมองจึงเกิดความรู้สึกชา เจ็บจิ๊ดๆ

ทางแก้ที่แน่นอน คือ ต้องเลี่ยงอิริยาบถที่จะทำให้เกิดการกดทับจนเป็นเหน็บชา และที่สำคัญคือ ไม่ควรกินคาร์โบรไฮเดรตมากเกินไป เช่น ข้าว แป้ง เนื่องจากร่างกายต้องใช้วิตามินบีในการเผาผลาญคาร์โบรไฮเดรต ถ้ากินคาร์โบรไฮเดรตมาก ร่างกายย่อมต้องใช้วิตามินบีมากเช่นกัน เมื่อร่างกายขาดวิตามินบี ก็จะเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นเหน็บชาได้ง่ายๆ

การเติมเสริมวิตามินบีให้ร่างกาย 'มุมสุขภาพ' แนะนำ 'ถั่วแดง' ที่มีสรรพคุณแก้ลดอาการเหน็บชา แถมยังช่วยบรรเทาอาการจุกเสียดแน่นท้อง บำรุงหัวใจ ระบบประสาท ลำไส้ บำรุงเลือด ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงเส้นเลือดในสมองปริแตก โดยสารอาหารในถั่วแดงประกอบไปด้วยโปรตีน คาร์โบรไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินเอ บี และซี มีเส้นใยอาหาร และโฟลิก

สำหรับเมนูอร่อยจากถั่วแดง ชวนลองทำ 'ซุปถั่วแดง' โดยเริ่มจากนำถั่วแดงไปต้มสุกแล้วพักไว้ หันไปโขลกเม็ดพริกไทย รากผักชี และกระเทียมรวมกัน จากนั้นตั้งกระทะใส่น้ำมันมะกอกพอเริ่มร้อนใส่เม็ดพริกไทย รากผักชี และกระเทียมที่โขลกไว้ ผัดให้หอมแล้วใส่ก้านขึ้นฉ่ายสับและหอมหัวใหญ่สับ ผัดต่อให้สุก จากนั้นใส่ถั่วแดงต้มสุก และน้ำซุปหรือน้ำสะอาด เคี่ยวให้ถั่วแดงเปื่อยแล้วพักไว้จนเย็นลง จึงนำไปปั่น

เมื่อนำไปปั่นแล้วจะได้ซุปเนื้อเนียนละเอียด แต่เท่านี้ยังไม่อร่อยพอ ต้องนำไปตั้งไฟอีกครั้ง โดยใช้ไฟอ่อน เคี่ยวต่อสักครู่ พร้อมปรุงรสเพิ่มด้วยเกลือ ซีอิ้วขาว และพริกไทย กระทั่งซุปเริ่มเดือดจึงดับไฟเป็นอันเสร็จ พร้อมตักใส่ถ้วย กินตอนร้อนๆ อุ่น คล่องคอ เป็นเมนูอาหารว่างช่วยป้องกันเหน็บชาได้ดี.
*** ถั่ว 5 สี มีดีอย่างไร ***

คุณทราบหรือไม่...ถั่ว 5 สี 5 ชนิด คืออาหารบำรุงของระบบอวัยวะภายใน 5 ระบบ เมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ คือ แป้ง น้ำตาลโปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่ ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้ครบทุกสี จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

ถั่วทั้ง 5 สีนี้คือ

ถั่วแดง (Red Beans) – มีประโยชน์ต่อหัวใจ
ถั่วดำ (Black Beans) – มีประโยชน์ต่อไต
ถั่วเหลือง (Soy Beans) – มีประโยชน์ต่อม้าม
ถั่วเขียว (Green Beans) – มีประโยชน์ต่อตับ
ถั่วขาว (White Beans) – มีประโยชน์ต่อปอด

** ถั่ว 5 สีกับผองเพื่อน **

ส่วนประกอบ
ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วเหลือง ลูกเดือย เม็ดบัว รากบัว

คราวนี้เอาสาระประโยชน์มากฝากเพื่อน ๆ เป็น เครื่องดื่ม ที่ปรุงจาก ถั่ว 5 สี ได้ได้แก่ ถั่วดำ ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วเหลือง ลูกเดือย เม็ดบัว รากบัว รายละเอียดอ่านได้เลยครับ เริ่มจาก

เครื่องปรุง
ถั่วดำ 1 ขีด
ถั่วเขียว 1 ขีด
ถั่วแดง 1 ขีด
ถั่วขาว 1 ขีด
ถั่วเหลือง 1 ขีด
นำไป คั่ว ให้สุกก่อนแล้วแช่น้ำไว้ 4-6 ชั่วโมง ล้างให้สะอาด พักไว้

หลังจากนั้น
+ ลูกเดือย 1 ขีด ล้างให้สะอาด แล้วต้มให้สุก พักไว้
+ เม็ดบัว 1 ขีด ล้างให้สะอาด ต้มให้สุก พักไว้
+ รากบัว 1 ขีด ปอกเปลือกล้าง ต้มให้สุก พักไว้

วิธีทำ
นำ เครื่องปรุง ทั้งหมดรวมกัน แล้วปั่นให้ละเอียด ต้มในหม้อใบใหญ่ ใส่น้ำมาก ๆ กรองเอากากออก นำน้ำที่ได้ไปต้มให้เดือด เติมน้ำตาล(ควรเป็นน้ำตาลทรายแดง)เล็กน้อย หรือจะไม่ใส่ก็ได้ รับประทานได้เลย

สรรพคุณ

- บำรุงกระดูก
- บำรุงเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ
- ช่วยลดน้ำหนัก
- ผิวพรรณสดใส
- ช่วยสร้างเม็ดเลือด
- บำรุงการเจริญเติบโตของเด็กด้วยโปรตีนจากถั่ว
- ช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรง จากการเจ็บป่วยหรืออ่อนเพลี

*ควรคัดเมล็ดถั่วเสียทิ้งก่อนต้ม เพื่อลดความเสี่ยงในการรับสารพิษจาก เชื้อรา ( อะฟลาท็อกซิน ) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งตับ*
***ยิ้มรับเช้าวันใหม่ กับ โกโก้ร้อนสักแก้ว***

โกโก้ เป็นอาหารให้พลังงานสูงที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อร่างกาย ดื่มโกโก้ที่มีส่วนประกอบของ Cocoa mass มากกว่า 70% เพียง 50 กรัมต่อวันสามารถป้องกันการเกิดโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และอีกหลายโรค นอกจากนั้นโกโก้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี วิตามินดีและวิตามินอี ไขมันที่อยู่ในช็อคโกแลต จัดเป็นไขมันที่มีคุณภาพดีไม่ทำให้เกิดการอุดตันในเส้นเลือด ไม่ก่อให้เกิดโรคหัวใจหรือไขมันในเส้นเลือดสูง สาร flavonoids ที่อยู่ในเมล็ดโกโก้ มีประโยชน์ต่อร่างกาย 2 ประการ คือ ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) และมีฤทธิ์ต้านการเกาะตัวกันของเกล็ดเลือด อันเป็นสาเหตุสำคัญของโรคหัวใจ อัมพาต ป้องกันข้ออักเสบและบรรเทาความเครียด

นักวิทยาศาสตร์ดัตช์ได้ค้นพบหลักฐานยืนยันว่า การดื่มโกโก้มีสรรพคุณบำรุงหัวใจ พวกเขาเห็นตัวอย่างจากคนเฒ่าคนแก่ที่ดื่มกินโกโก้ ปรากฏว่าช่วยให้ความดันโลหิตลดต่ำ และไม่ค่อยเจ็บป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดโลหิต

คณะนักวิจัยได้พบว่า ชายสูงอายุที่ดื่มโกโก้ มากที่สุดกลุ่มนี้ จะตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดเพียงแค่ครึ่งเดียว เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ได้ดื่ม แม้ว่าจะได้คำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น น้ำหนักตัว การสูบบุหรี่ ขนาดการออกกำลัง และการกินเหล้าเมายาด้วยแล้ว ซ้ำผู้ชายที่ดื่มโกโก้มาก ยังไม่ค่อยเจ็บป่วยจนถึงตายด้วยโรคอื่นด้วย

ในการวิจัยโกโก้ พบว่า มีสารเคมีที่เรียกว่า น้ำมัน ฟลาแวน-3 ซึ่งมีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิต และทำให้ เซลล์ของเยื่อบุหลอดเลือดทำงานดีขึ้น แต่พวกนักวิจัยเชื่อว่า สาเหตุคงเป็นเพราะมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอยู่อย่างอุดมมากกว่า

***แต่ว่าช้าก่อน ปัจจัยที่จะส่งผลให้โกโก้ถูกมองในแง่ร้ายก็คือ นมข้นหวาน นมสด นมข้นจืด น้ำตาล ครีมเทียม ที่นำมาผสมเพิ่มลงในโกโก้นั่นเอง เติมในปริมาณแต่น้อย เอาแค่พอดี แค่นี้ก็ถอยห่างจากโรคร้ายได้อีกก้าวหนึ่งแล้ว ^_^

*** พระเอกมาแล้ว...บร็อคโคลี่***

บร็อคโคลี่อีกหนึ่งผักสีเขียวที่มีสรรพคุณและประโยชน์นานา ๆ เลยทีเดียว ใครที่ไม่ชอบทาน บร็อคโคลี่ คงต้องมาดูข้อมูล บร็อคโคลี่ สรรพคุณและประโยชน์กันแล้วล่ะว่า เจ้าผักบร็อคโคลี่เนี่ยจะให้ประโยชน์อะไรแก่ร่างกายของเราได้บ้าง แต่ขอบอกเลยว่า ถ้าคุณ ๆ ได้อ่านยิ่งโดยสาว ๆ ด้วยแล้วได้รู้ สรรพคุณของบร็อคโคลี่ และ ประโยชน์ของบร็อคโคลี่แล้วรับรองว่าคุณจะต้องชอบทาน บร็อคโคลี่ กันทุกวันอย่างแน่นอนเลย เรามาดูสรรพคุณและประโยชน์ของบร็อคโคลี่กันเลยดีกว่า

สรรพคุณ / ประโยชน์ บร็อคโคลี่

ใครที่ไม่ชอบกินบร็อคโคลี่ฟังทางนี้ ในบร็อคโคลี่มีสารที่เรียกว่า ซัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งเป็นสารป้องกันโรคมะเร็ง บร็อคโคลี่ 1 ถ้วยตวง ให้วิตามินซีมากถึง 13% ของปริมาณวิตามินซีที่เราควรรับประมทานต่อวันและบร็อคโคลี่ก็อุดมไปด้วยเบต้า-แคโรทีน นอกจากจะเป็นแหล่งวิตามินเอทีสำคัญ บร็อคโคลี่ ยังมีธาตุซีลีเนียมที่มีสรรพคุณช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนังอีกด้วย ดังนั้น การรับประทานบร็อกโคลี่เป็นประจำจะช่วยชะลอผิวพรรณไม่ให้เหี่ยวย่นง่ายดูอ่อนกว่าวัยเป็นหนุ่มสาวอยู่ตลอดเวลา

- ช่วยป้องกันมะเร็ง ได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปอด

- อุดมด้วยวิตามินซี สารแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายและยังช่วยให้ผนังเส้นเลือดแข็งแรงอีกด้วย

- ประกอบด้วยสาร glutathione ซึ่งช่วยลดโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดไขข้ออักเสบ เบาหวาน และโรคหัวใจ และนอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ลดระดับคลอเลสเตอรอล และช่วยลดความดันโลหิตสูง

- ป้องกันการเกิดต้อกระจก เนื่องจากบร็อคโคลี่จะมีสารเบต้าแคโรทีนสูงโดยเฉพาะสาร lutein

- ขนาดรับประทาน บร็อคโคลี่ 1/2 ถ้วย ต่อสัปดาห์ ก็จะดีต่อสุขภาพของคุณแล้ว
***เก๊าท์ โรคที่ทรมาน***

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ คือปัจจัยทางกรรมพันธุ์และภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดกรดยูริคสูงในเลือดซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดจากการได้รับกรดยูริคหรือสารพิวรีนเข้าไปมากหรือมีการสลายของคลีโอโปรตีนซึ่งอยู่ในนิวเคลียสของเซลล์มาก หรือกรดยูริคที่มีอยู่ไม่สามารถถูกขับถ่ายออกมาทางไตได้ตามปกติ ทำให้กรดยูริคคั่งอยู่ในเลือดมากเกิดภาวะยูริคสูงในเลือด

อาการของโรคเก๊าท์
ระยะแรก มักมีอาการปวดรุนแรงอย่างทันทีทันใดมักพบในอาการปวดที่หัวแม่เท้า หัวเข่า หรือข้อเท้าก่อน อาการมักเกิดขึ้นภายหลังจากการกินอาหารที่มีแคลอรี่สูงมากๆ การดื่มเหล้ามาก หรือการสวมรองเท้าที่คับ บริเวณผิวหนังตรงที่ข้อที่อักเสบตึงร้อนเป็นมัน ผู้ป่วยมักมีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลียมีเม็ดเลือดขาวสูงอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 2-3 วัน และหายไปเองในระยะ 5-7 วัน

ระยะพัก เป็นระยะที่ไม่มีอาการแสดงแต่กรดยูริคในเลือดมักสูง และอาการอักเสบอาจเกิดขึ้นอีกจนถึงขั้นเรื้อรังอาจมีอาการเป็นระยะเนื่องจากผลึกยูเรตเ)้นจำนวนมากสะสมอยู่ในข้อกระดูก เยื่ออ่อนของข้อต่อ และบริเวณเส้นเอ็นทำให้เกิดโรคกระดูกเสื่อม เมื่อเป็นมากจะมีการสะสมของผลึกนี้เยื่อบุภายในปลอกหุ้มข้อและเกิดปุ่มขึ้นที่ใต้ผิวหนังมักเริ่มที่หัวแม่เท้าและปลายหูก่อนข้อที่มีผลึกยูเรตเกาะอยู่ อาจเปลี่ยนแปลงจนผิดรูปและเกิดความพิการที่ข้อกระดูกนั้น ๆ

อาการแทรกซ้อน
พบว่าร้อยละ 25 ของผู้ป่วยข้ออักเสบเฉียบพลันจากเก๊าท์มักมีนิ่วในไตด้วย ผลึกยูเรตอาจจะสะสมอยู่ในส่วนกรวยไตทำให้มีอาการเลือดออกทางปัสสาวะ ถ้ามีการสะสมในไตมาก ๆ จะขัดขวางการทำงานของไตหรือทำลายเนื้อไตทำให้เกิดภาวะไตล้มเหลว

การควบคุมอาหาร เนื่องจาก กรดยูริคจะได้จากการเผาผลาญสารพิวรีน ดังนั้น ในการรักษาโรคเก๊าท์ จึงต้องควบคุมสารพิวรีนในอาหารด้วย อาหารที่มีพวรีน อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่มคือ

อาหารที่มีสารพิวรีนน้อย ( 0-50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) 
1.นมและผลิตภัณฑ์จากนม 2.ไข่ 3.ธัญญพืชต่าง ๆ 4.ผักต่าง ๆ 5.ผลไม้ต่าง ๆ 6.น้ำตาล
7.ผลไม้เปลือกแข็ง(ทุกชนิด) 8.ไขมัน

อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง (50-150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) 
1.เนื้อหมู 2.เนื้อวัว 3.ปลากระพงแดง 4.ปลาหมึก 5.ปู 6.ถั่วลิสง 7.ใบขี้เหล็ก
8.สะตอ 9.ข้าวโอ๊ต 10.ผักโขม 11.เมล็ดถั่วลันเตา 12.หน่อไม้

อาหารที่มีพิวรีนสูง (150 มิลลิกรัมขึ้นไป) * อาหารที่ควรงด* 
1.หัวใจไก่ 2.ไข่ปลา 3.ตับไก่ 4.มันสมองวัว 5.กึ๋นไก่ 6.หอย 7.เซ่งจี้(หมู) 8.ห่าน 9.ตับหมู 10.น้ำต้มกระดูก 11.ปลาดุก 12.ยีสต์ 13.เนื้อไก่,เป็ด 14.ซุปก้อน 15.กุ้งชีแฮ้ 16.น้ำซุปต่าง ๆ 17.น้ำสกัดเนื้อ 18.ปลาไส้ตัน 19.ถั่วดำ 20.ปลาขนาดเล็ก 21.ถั่วแดง 22.เห็ด 23.ถั่วเขียว 24.กระถิน 25.ถั่วเหลือง 26.ตับอ่อน 27.ชะอม 28.ปลาอินทรีย์ 29.กะปิ 30.ปลาซาดีนกระป๋อง 

ข้อแนะนำกว้าง ๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อหรือโรคเก๊าท์
1. ควรหลีกเลี่ยงอาหารทอด อาหารมัน อาหารรสเปรี้ยวจัด เช่น โยเกิร์ต รวมทั้งเหล้าและของมึนเมาต่าง ๆ

อาหารที่บำรุงมาก ๆ อย่างเช่น เนื้อสัตว์ อาหารมัน ถ้ากินเข้าไปมาก ๆ โดยเฉพาะ ในยามที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี กินเข้าไปแล้วแทนที่จะเป็นคุณกลับให้โทษแทน วิธีดูว่า ระบบย่อยอาหาร ทำงานปกติหรือไม่ ให้สังเกตว่า เราเจริญอาหาร หรือมีความอยากอาหาร ดีหรือไม่เมื่อถึงเวลาอาหาร ถ้ารู้สึกเบื่ออาหาร ก็แสดงว่า ระบบย่อยอาหารไม่เป็นปกติ ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายว่า ขณะนี้ร่างกายไม่ต้องการอาหารหรอกนะ

ช่วงเวลาอย่างนี้ หากไม่รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร อดสักมื้อหนึ่งไม่น่าจะเกิดอันตรายอะไร ถ้าจะกินอาหารก็ควรกินอาหารที่ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้มใส่น้ำมาก ๆ อาจเติมขิงซอย พริกไทยลงไปบ้างเพื่อช่วยย่อย

อาหารที่แนะนำให้รับประทาน ได้แก่ ข้าวหุงจากข้าวสารเก่า ข้าวสาลี (ทั้งสองอย่างควรเป็นข้าวที่ไม่ขัดขาว) ถั่วเขียว น้ำต้มเนื้อ กระเทียม หัวหอม มะระ มะละกอ กล้วย

ที่สำคัญอีกอย่างคือ อาหารมื้อเย็นควรกินแต่หัวค่ำ กะเวลาให้ห่าง จากเวลาเข้านอน สักสองชั่วโมงเป็นอย่างน้อย อาหารมื้อเย็นควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย

2. ระวังอย่าให้ท้องผูก ถ้าหากมีอาการท้องผูก ขอแนะนำให้ใช้สมุนไพร ที่เป็นยาระบายอ่อน ๆ เช่น เนื้อลูกสมอไทยบดผง กินครั้งละ 1-2 ช้อนชา กับน้ำอุ่น ก่อนนอน

3. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความเย็น ไม่ควรอาบน้ำเย็นจัด

4. ควรออกกำลังกายบ้าง เช่น เดินเล่นในสวน ฝึกโยคะ บริหารร่างกายเบา ๆ แต่ไม่ควรออกกำลังกาย อย่างหักโหม เพราะคนที่มีปัญหาเรื่องข้อ ปกติข้อไม่แข็งแรงอยู่แล้ว การออกกำลังหักโหม จะกลายเป็นการซ้ำเติม ทำให้ข้อเสื่อมลงอีก

5. ไม่ควรนอนตอนกลางวัน ยกเว้นในฤดูร้อนซึ่งร่างกายอ่อนเพลียได้ง่าย หากงีบหลับบ้างก็ไม่เป็นไร เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นตัว

นอกจากเรื่องอาหารและการปฏิบัติตัวที่ว่ามาตอนต้นแล้ว จะขอแนะนำ ตำรับยาสมุนไพรง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

- เถาบอระเพ็ด เหง้าขิงแห้ง ลูกผักชี หนักอย่างละ ๒๐ กรัม ล้างให้สะอาด เถาบอระเพ็ดและขิงแห้งควรสับเป็นชิ้นเล็ก ๆ ยาทั้งสามอย่างต้มกับน้ำ ๕ แก้ว ต้มให้เหลือหนึ่งแก้วครึ่ง แล้วกรองเอาแต่น้ำยา แบ่งกินครั้งละครึ่งแก้ว ก่อนอาหารเช้า กลางวัน เย็น หรือกินครั้งละ ๓/๔ แก้ว เช้า เย็น ก็ได้ถ้าไม่สะดวกกินยาตอนกลางวัน ก่อนกินยาให้อุ่นยาก่อนทุกครั้ง

ยาตำรับนี้จะช่วยย่อยสลายส่วนเกินที่ไปขังสะสมอยู่ตามข้อ ทำให้เลือดลม ไหลเวียนสะดวกขึ้น อาการปวดก็จะลดลง

- ถ้ามีอาการปวดข้อ เช่น ข้อเข่า ให้ใช้เมล็ดงาดำ ตำให้แหลก คั่วโดยใส่น้ำมันงาเล็กน้อย แล้วเติมนมสด กะให้พอคลุกกับเมล็ดงาที่ตำแล้ว ได้เป็นยาพอกเละ ๆ เอามาพอกตามข้อที่ปวด หรือจะเด็ดใบมะรุม มาตำโดยผสมน้ำคั้นจากใบมะขาม ตำให้แหลก ทำเป็นยาพอก ตามข้อที่ปวด ก็ใช้ได้เช่นกัน

การพอก หรือประคบในลักษณะนี้ จะช่วยลดอาการปวดข้อโดยตรง ทั้งยังช่วยบำรุงข้อ บำรุงกระดูกด้วย

ข้อแนะนำที่กล่าวมาข้างต้น เป็นหลักการปฏิบัติกว้าง ๆ เพื่อควบคุม และบรรเทาอาการของโรค คงไม่ได้มุ่งที่การรักษาโดยตรง เนื่องจาก โรคเก๊าท์เป็นโรคที่เรื้อรัง ผู้ที่เป็นโรคนี้ ควรได้รับการตรวจวินิจฉัย และการรักษาจากหมอโดยใกล้ชิ
***ส้มป่อย ไม้ศักดิ์สิทธิ์***

ส้มป่อยเป็นไม้พุมรอเลื้อยขนาดใหญ่ มีลักษณะต้นคล้ายชะอมแต่ลำต้นจะมีสีออกแดงน้ำตาล ตามลำต้นกิ่งก้าน มีหนาม ใบเป็นใบประกอบแบบนกสองชั้นใบย่อยรูปขอบขนาน ปลายและโคนใบมน ดอกมีขนาดเล็กเป็นช่อกลมเป็นพู่เหมือนดอกกระถิน ออกตามปลาย กิ่ง ฝักแบนยาว คล้ายถั่วลันเตา สีน้ำตาลดำ ขอบเป็นคลื่น ผิวย่น มีสารกลุ่มซาโปนินสูงถึง 20 % ตีกับน้ำจะเกิดฟองคงทนมาก ขยายพันธุ์ด้วยเมล็ดหรือปักชำกิ่ง

นอกจากคนไทยใหญ่แล้วคนเฒ่าคนแก่ในภาคเหนือและภาคอีสานรวมถึงประเทศลาว ต่างใช้ฝักของส้มป่อย เพื่อปัดเป่าภัยร้ายเช่นกัน ดังเช่น ในวันสงกรานต์ ที่คนโบราณเชื่อกันว่าเป็นวันที่มี่อาถรรพ์แรง เพราะเศียรของท้าวผกาพรหมอาจหล่นมาสู่โลกเกิดไฟประลัยกัลป์ได้ จึงต้องมีการรดน้ำดำหัวกันด้วยน้ำฝักส้มป่อย เพื่อล้างอาถรรพ์สร้างสวัสดิมงคล ใช้ในพิธีเสริมสิริมงคล พิธีไหว้ครู สะเดาะเคราะห์ แก้อาถรรพ์ไล่ภูติผีปีศาจ ใช้ล้างมือ ล้างหน้า หลังจากกลับจากงานศพ หรือใช้อาบน้ำศพ เพื่อให้ผู้จากไปได้พบสิ่งดีสู่สุคติ หรือการนำฝักส้มป่อยติดตัวไปด้วยในงานเผาศพผีตายโหง เป็นต้น

การเก็บฝักส้มป่อยที่จะนำมาใช้ในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ นั้นต้องเก็บในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 4 จึงจะศักดิ์สิทธิ์ หรืออย่างน้อยก็ต้องไปเก็บก่อนฟ้าร้อง หรือก่อนฝนตกลงมา เพราะหากฟ้าร้องฝนตกแล้วถือว่าไม่เป็นยาไม่ขลัง ถือว่า ข้ามปีไปแล้ว เมื่อได้เวลาเก็บ ชาวบ้านจะเลือกเก็บฝักส้มป่อยที่แก่จัด นำไปตากในกระด้งให้แห้งสนิท เก็บใส่ตะกร้า ไว้ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้นิยมนำฝักส้มป่อยไปผิงไฟพอให้สุก ส้มป่อยจะมีกลิ่นหอมอมเปรี้ยว ผู้ที่เคยล้างหน้าหรืออาบด้วยน้ำส้มป่อยแล้ว ย่อมรู้สึกได้ถึงความมีสิริมงคล เพราะกลิ่นหอมแทรกรสเปรี้ยวของส้มป่อยช่วยให้สดชื่นฟื้นชีวิตชีวาขึ้นมาทันทีทันใด

“ส้มป่อย” สมุนไพรพื้นบ้านของไทย มีสรรพคุณดังนี้

-ใบ รสเปรี้ยวฝาดร้อนเล็กน้อย สรรพคุณขับเสมหะ ถ่ายเมือกมูกในช่องคลอด (ระดูขาว) ล้างเมือกมันในลำไส้แก้บิด ฟอกโลหิต ระดู แก้โรคตาดอก รสเปรี้ยว เป็นยาขับเสมหะ แก้ไข้ทำให้อาเจียน แก้น้ำลายเหนียว แก้โรคผิวหนัง ช่วยขจัดรังแค และบำรุงเส้นผม

-ผล แก้น้ำลายเหนียว เปลือกฝัก รสขมเปรี้ยว เผ็ดปร่า ช่วยทำให้เจริญอาหารกัดเสมหะ แก้ไข้ แก้ซางเด็ก

-ต้น รสเปรี้ยวฝาดแก้ตาพิการ

-ราก รสขม แก้ไข้ แก้ท้องร่วง


**ขนาด และวิธีใช้**

1. ขับปัสสาวะ ชาวเหนือใช้ยอดอ่อนของส้มป่อยต้มน้ำและนำน้ำยามาผสมกับน้ำผึ้ง

2. แก้พิษฝี นำยอดอ่อนของส้มป่อยมาตำรวมกับขมิ้นอ้อยใส่น้ำมันพืชเล็กน้อย หมกไฟพออุ่นและนำไปพอกจะช่วยแก้พิษได้

3. ช่วยทำให้สตรีมีครรภ์คลอดง่าย ใช้ฝักส้มป่อย 3-7 ข้อ ต้มน้ำอาบตอนเย็น และมักอาบก่อนกำหนดคลอด 2-3 วัน แต่ห้ามอาบมากจะทำให้รู้สึกร้อน

4. แก้ท้องร่วงใช้รากส้มป่อยต้มน้ำรับประทาน

5. ฝักปิ้ง ให้เหลืองชงน้ำกินแก้ไอ

6. ใบตำห่อผ้าประคบเส้นให้เส้นอ่อน

ยอดอ่อนของส้มป่อยนำมาใช้แทนยอดมะขามเพื่อทำเป็นอาหารประเภทต้มยำและให้รสเปรี้ยว นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่าสารซาโพนินในฝักส้มป่อยทำให้ทีเซลล์ (T cells) ทำงานได้ดีขึ้น ช่วยทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายดีขึ้น

ขมแต่ไม่ขม

***อาจจะขม...แต่ไม่ขมขื่น***

เกร็ดดีๆ ให้กับหลายๆ คนกับ”ผักรสขม” ที่เราเคยๆ ได้ยินกันว่า หวามเป็นลมขมเป็นยา ถึงแม้จะรู้ว่าขมเป็นยาแต่พืชผักสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิดคนรุ่นใหม่ส่วนมากมักจะร้องว่ายี้และแทบอ้วกกันเป็นแถวๆ เลยทีเดียว แถมยังมีบางคนที่บอกว่าผักสมุนไพรเป็นอาหารของคนแก่อีกด้วย คนสว่นมากไท่มีใครรู้ว่าพืช ผักรสขม สมุนไพรเหล่านี้ มี”สรรพคุณ”ทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ด้วย และโดยเฉพาะ ผักรสขมมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าพูดถึงผักรสขม หลายๆ คนก็คงจะนึกถึง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ ใบยอ เป็นต้น แต่ผักรสขมก็ยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อได้ด้วย เรามารู้จักกับประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมเพื่อสุขภาพที่ดีกันเลยดีกว่า

1. สะเดา
ทุกส่วนของสะเดามีคุณสมบัติเป็นยาได้ทั้งหมด กินสะเดาก่อนเป็นไข้ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้วรักษาให้หายไข้ได้ ก็ไม่ผิดเพราะผักรสขมอย่างสะเดามีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับดี และช่วยรักษาอาการไข้ เรานิยมนำยอดและดอกมาทำอาหา

2. ขี้เหล็ก
ส่วนดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ขี้เหล็กถือเป็นยานอนหลับชั้นยอด ช่วยระบายท้องได้ดี บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิต และรักษากามโรค มีสารอาหาร ยอดขี้เหล็กมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย เมนูขี้เหล็กที่นิยมมีทั้งดอกตูมและใบอ่อน ขี้เหล็กไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความอร่อยอย่างเดียว แต่มีส่วนในการดึงสารเบต้าแคโรทีนในขี้เหล็กออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีกด้วย

3. มะระ
ทั้งมะระจีนและมะระขี้นก และเป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย หัวเข่าบวม บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ ขับพยาธิ มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงระดู มะระมีพลังของความเย็น ช่วยขับพิษ ช่วยฟอกเลือด บำรุงตับ มีผลดีต่อสายตาและผิวหนัง

4. ยอ
ผักพื้นบ้านที่ใครๆ ก็รู้จักดีและบริโภคเป็นอาหารมานาน ไม่ว่าจะเป็นทั้งใบและผลยอมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็ง กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ ลดอาการภูมิแพ้ ช่วยให้การทำงานของเซลล์ในร่างกายเป็นปกติ เป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้คลื่นเหียนอาเจียน ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงธาตุ ผู้หญิงควรกินลูกยอที่แก่จัดเพื่อบำรุงเลือดลม ปวดท้องประจำเดือน รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ เลือดลมดี “ผิวพรรณ”ก็จะเปล่งปลั่ง สดใส ไม่เป็นสิวฝ้า เราจึงควรหาโอกาสทานอาหารที่มียอเป็นส่วนประกอบเพราะนอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารสูงแล้วยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายเป็นปกติโดยไม่เสียสมดุล

"หวานเป็นลม ขมเป็นยา"