วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

***สตรอเบอร์รี่***

เจ้าผลไม้หน้ากระจุ๋มกระจิ๋มสีสันสดใสนี้นอกจากจะกินอร่อยแล้ว ยังอุดมไปด้วยประโยชน์ทั้งสารต้านอนุมูลอิสระ สารอาหารต่าง ๆ ตั้งแต่โฟเลต วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โปรแตสเซียม ไฟโตนิวเทรียนท์ ไฟเบอร์ ฟลาโวนอยด์ กรดฟีโนลิก กรดเอลลาจิก ฯลฯ สตรอเบอร์รี จึงเป็นผลไม้เพื่อสุขภาพด้วยสรรพคุณที่เกินพิกัด...

1.ช่วยล้างพิษที่สะสมในร่างกาย เช่น กรดยูริก สาเหตุสำคัญของโรคข้ออักเสบ
ละโรคเกาท์

2.ช่วยให้ห่างไกลโรคต่าง ๆ ทั้งโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง มะเร็งลำไส้นิ่วในไต สีแดงสดของสตรอเบอร์รีล้วนอุดมไปด้วยซูเปอร์ไฟเบอร์เพคติน และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลและช่วยเคลือบทางเดินอาหารอีกด้วย

3.ช่วยส่งเสริมการทำงานของสมองโดยสารต้านอนุมูลอิสระ จะช่วยฟื้นคืนความอ่อนเยาว์ให้กับระบบประสาท

4.ช่วยดูแลสายตา สารต้านอนุมูลอิสระในสตรอเบอร์มีส่วนช่วยชะลอขบวนการเสื่อสภาพของดวงตาได้

5.ช่วยลดความอ้วน สตรอเบอร์รีคือผลไม้เพื่อการลดน้ำหนักที่สุดแสนจะเพอร์เฟ็กต์ เพราะปริมาณ 1 ถ้วยให้พลังงานเพียง 49 แคลอรี เท่านั้น และยังอุดมด้วยไฟเบอร์ช่วยให้อิ่มท้องและช่วยระบบการขับถ่าย

6.ช่วยดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน ช่วยรักษาแผลในปาก ช่วยดับกลิ่นปาก ทำให้ลมหายใจสดชื่น

7.ใบสดของสตรอเบอร์รี ยังสามารถนำมาโขลกแล้วนำไปประคบ ช่วยลดอาการอักเสบและบวมช้ำได้อีกด้วย

ถ้าจะให้ได้ประโยชน์จากสตรอเบอร์รีอย่างสูงสุด ควรรับประทานแบบสดแทนที่จะเป็นแบบแยม เพราะนอกจากจะไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นชิ้นเป็นอันแล้ว ยังจะได้น้ำตาลตัวร้ายต่อสุขภาพเป็นของแถม
***น้ำมะเขือเทศปั่น ชื่นใจก่อนสู้กับมะเร็ง***

ต่อต้านอนุมูลอิสระหรือมะเร็ง ผิวพรรณสดใส สิ่งดีๆ ทานง่าย ทำง่าย ให้อร่อย สดชื่น ให้คุณค่านานาประโยชน์

ส่วนผสม 
มะเขือเทศ 50 กรัม (1 ผลใหญ่ถ้าสุกจะดีมาก )
น้ำเชื่อม 15 กรัม
น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 2 กรัม (นิดหน่อย)

วิธีทำ
- นำมะเขือเทศล้างให้สะอาด หั่นให้ชิ้นพอประมาณ ใส่ในเครื่องปั่น พร้อมน้ำเชื่อม เกลือ น้ำสุก ปั่นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบหรือจะใส่น้ำแข็งปั่นลงไปด้วยก็ได้

คุณค่าทางอาหาร : มีเบต้า-แคโรทีน สูงมาก ช่วยต่อต้านมะเร็งและมีวิตามินซี สูงมากเช่นกันป้องกันเลือดออกตามไรฟัน

คุณค่าทางยา : ทำให้เกิดความสดชื่นแก้กระหายน้ำ ผิวพรรณผ่องใส ช่วยในการย่อยอาหารดีขึ้น ช่วยฟอกเลือดและป้องกันโรคมะเร็ง
***สับปะรด***

"สับปะรด" ผลไม้ธรรมดาๆ หาทานได้ทั่วไปชนิดนี้ แต่คุณทราบหรือไม่ว่าสัปปะรดนั้นยังมีสรรพคุณทางยาด้วย เพราะสามารถช่วยแก้อาการอาหารไม่ย่อยได้อย่างชงัด ทั้งนี้เพราะในสับปะรดมีเอนไซม์ตามธรรมชาติที่มีชื่อว่า บรอมีเลน ที่สามารถช่วยย่อยอาหารได้ทั้งในสภาวะเป็นกรดและด่าง จึงเหมาะมากที่จะพาไปช่วยย่อยในกระเพาะซึ่งเป็นกรด ก่อนจะตามไปย่อยต่อในลำไส้เล็กซึ่งเป็นด่าง และถ้าจะให้ดีก็เอาสับปะรดสุกปั่นกั
บมะละกอสุกๆ ชิ้นประมาณเท่าฝ่ามือ ก็จะทำให้ได้เครื่องดื่มที่มีสรรพคุณช่วยย่อยเป็นสองแรง เพราะในมะละกอมีน้ำย่อยธรรมชาติอีกตัว ชื่อ ปาเปน เจอเข้าไปสองขนานก็จะช่วยให้การย่อยมีพลังมากยิ่งขึ้น สามารถดื่มหลังอาหารที่หนักไปทางเนื้อสัตว์ ที่อาจทำให้รู้สึกแน่นท้อง อาหารไม่ย่อยได้

หลายประเทศมีการสกัดเอนไซม์บรอมีเลนจากสับปะรดไปใช้เพื่อช่วยให้แผลผ่าตัดทุเลาเร็วขึ้น รวมทั้งลดอาการอักเสบ แผลบวมหรืออาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา รวมทั้งมีการทดลองใช้บรรเทาอาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร อาการเกี่ยวกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูก และข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าท์ และอาการปวดประจำเดือน นอกจากนี้มีงานวิจัยที่พบด้วยว่า ด้วยฤทธิ์ย่อยโปรตีนอย่างเป็นธรรมชาติของบลอมีเลนนี่เอง ที่ทำให้เมื่อบรอมีเลนดูดซึมเข้ากระแสเลือดอาจช่วยลดการเกาะกันเป็นลิ่มเลือดของเกล็ดเลือดใหนหลอดเลือดแดง ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกหลายชนิด สับปะรด ผลไม้ธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
***แกงกล้วยดิบ ดีต่อลำไส้***

แกงกับน้ำพริกแกงใต้ ทำให้ได้กล้วยเนื้อแน่นหนึบเคี้ยวมัน เข้ากันได้ดีเหลือเกินกับน้ำแกงรสสะเด็ดยาด

เรื่องประโยชน์ก็โดดเด่น เพราะกล้วยดิบเป็นอาหารที่ช่วยสร้างสมดุลแก่กระเพาะอาหารและลำไส้ ตามหลักการกินอาหารเป็นยาของคนโบราณบอกเคล็ดลับไปหมดแล้ว แกงหม้อนี้ ก็เป็นเรื่องกล้วยๆ ที่อยากให้ลองทำกินกัน

ส่วนผสม
กล้วยดิบปอกเปลือกเขียวออก (หั่นแว่นแช่น้ำเกลือ) 5-6 ผล
กุ้งแกะเปลือก ผ่าหลัง ชักเส้นดำออก 6-7 ตัว (ไม่ใส่กุ้งก็ได้)
น้ำพริกแกงใต้ 3 ช้อนโต๊ะ
กะปิ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำเต้าหู้ 2 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบ 4-5 เม็ด
ใบมะกรูดฉีก 5-6 ใบ
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น ½ ช้อนชา
น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. โขลกกะปิรวมกับน้ำพริกแกงจนเข้ากันดี
2. รวนน้ำพริกแกงกับน้ำมัน จนหอมและแตกมัน
3. ค่อยๆ ใส่น้ำเต้าหู้ลงไป คนให้เข้ากัน รอจนเดือด
4. ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำปลา และน้ำตาลปี๊บ ชิมรส
5. ใส่กล้วย รอจนกล้วยสุก สังเกตว่ากล้วยจะออกสีคล้ำเล็กน้อย
6. ใส่กุ้งตามลงไป รอจนน้ำแกงเดือด
7. ใส่พริกชี้ฟ้า และใบมะกรูด ปิดไฟ ตักใส่ชาม พร้อมเสิร์ฟ

Tips
1. การปอกเปลือกกล้วยให้แกงกินอร่อย อย่าปอกเปลือกออกหมดจนเหลือแต่เนื้อกล้วย ให้ปอกเอาแต่ผิวเปลือกสีเขียวด้านนอกออก และเหลือเปลือกกล้วยด้านในติดอยู่กับผล
2. กล้วยเล็บมือนาง ใช้ทำแกงกล้วยได้อร่อยที่สุ
3. โขลกกะปิรวมกับน้ำพริกแกงใต้ ทำให้น้ำพริกแกงหอมอร่อยยิ่งขึ้น

แกงนี้สามารถปรับเปลี่ยนสูตรและส่วนผสมให้เป็นแบบมังสวิรัติได้นะครับ