วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555





อาหารห้ามกินเมื่อป่วย 

1.ท้องเสีย เมื่อมีอาการท้องเสียห้ามกินอาหาร ที่มีรสจัดๆ กาแฟ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมทุกชนิด อาหารรสเปรี้ยว ของหมักดอง กะทิ เหล้า เบียร์

2.โรคกระเพราะ ห้ามดื่มเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอลล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมันเพราะอาหารเหล่านี้ให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรรับประทานแต่ปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและทานอาหารที่เป็นอาหารย่อยง่ายและดื่มนมมากๆ

3.ห้ามกินของเย็นๆ ของมัน อาหารที่ย่อยยาก แนะนำให้กินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น น้ำขิง

4.อาการนอนไม่หลับ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทุกประเภทที่มีสาระนิโคตินเพราะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับ เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงสูบบุหรี่

5.ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด ควรที่จะสังเกตุว่าเราทานอะไรเข้าไปถึงแพ้ หลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นให้ผิวหนังกำเริบ บางคนมีอาการแพ้เนื่องจากดื่มนมเข้าไป



***รับมือโรคหอบหืดด้วยพริกหยวก***

โรคหอบหืดเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจที่จะมีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น ซึ่งทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำคอ โพรงจมูก และระบบทางเดินหายใจ สามารถรุกล้ำเข้าสู่หลอดลมและลงปอดได้ง่าย และทำให้อาการของโรครุนแรงขึ้น แต่อาการเหล่านี้สามารถรับมือได้ด้วยการทานพริกหยวก

พริกหยวกเป็นพืชประจำฤดูหนาวชนิดหนึ่ง ในพริกหยวกนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยในการต่อต้าน อนุมูลอิสระ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคหอบหืด โดยวิตามินซีในพริกหยวกจะเข้าไปทำหน้าที่ จับตัวอนุมูลอิสระเหล่านั้นเพื่อให้มีค่าเป็นกลาง และทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้ดีขึ้น

ที่มา : นิตยสารแม่บ้าน
 


***อาหารเหล่านี้ กินมากเสี่ยงมาก***

การจะมีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด อย่างอาหาร ที่เรารับประทานกันอยู่นั้น แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ทุกอย่างในโลกล้วนมีสองด้านเสมอ ในประโยชน์ก็มีโทษซ้อนอยู่ เราไม่ได้บอกว่าอาหารต่อไปนี้คุณ “ไม่ควร” รับประทาน เพียงแต่ควร ทานในปริมาณพอเหมาะ เพราะหากทานมากไปกลับยิ่งเสี่ยงต่อโทษ มากกว่าประโยชน์ แล้วอาหารที่ว่านั้นมีอะไรบ้าง เริ่มจาก

ตับหมู ในตับหมู 1 กิโลกรัมจะมีคอเลสเตอรอลสูงถึง 400 มิลลิกรัม เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า คอเลสเตอรอลยิ่งสูงยิ่งเสี่ยง ทั้งจากโรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ อีกมาก

ผักดอง จริงอยู่ว่าการหมัก ดอง เป็นการถนอมอาหารวิธีหนึ่ง ในการ ทำอาหารหมักดองนั้น มักใช้เกลือในปริมาณมาก ทำให้ร่างกายได้รับ โซเดียมสูง หากได้รับมากไปจะทำให้หัวใจทำงานหนัก ความดันเลือดสูง เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ในอาหารหมักดอง หมักเติมสารไนไตรต์ใน ปริมาณมาก สารตัวนี้เมื่อไปอยู่ในกระเพาะอาหารจะเปลี่ยนเป็น แอมโมเนียไนไตรต์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และแน่นอนว่าสารอาหารที่มี ประโยชน์ในผักไม่ว่าจะเป็น วิตามินบีและซี จะสลายไปตามระยะเวลาใน การหมักดอง

เต้าหู้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยลัฟเบอเรอในอังกฤษ ได้ศึกษาเรื่องนี้ กับผู้สูงวัยชาวอินโดนีเซีย 719 คน พบว่าการกินเต้าหู้มากเกินไป มากกว่าหนึ่งครั้งต่อวัน มีส่วนทำให้ความจำแย่ลง โดยเฉพาะผู้บริโภค ที่อยู่ในวัย 68 ปีขึ้นไป เนื่องจากเต้าหู้เต็มไปด้วยสารไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งให้ผลในแบบเดียวกับเอสโตรเจน ที่เป็นฮอร์โมนเพศหญิง ผลวิจัย ชิ้นนี้พบว่า ถ้าร่างกายได้รับสารไฟโตเอสโตรเจนมากเกินไป อาจเพิ่ม ความเสี่ยงทำให้เป็นโรคจิตเสื่อม ตัวการสำคัญอาจมาจากสารกันบูดใน เต้าหู้ ที่ไปกระทบกับสมองในส่วนของความจำ

ปาท่องโก๋ อาหารมื้อเช้าของใครหลายคนนั้นเอง ประการแรก ปาท่องโก๋นั้นทำจากแป้ง เมื่อแป้งผ่าน กระบวนการทอดด้วยน้ำมัน จะทำให้เกิดไขมัน ชนิดทรานส์ ซึ่งไขมันชนิดนี้จะไปทำลายไขมันชนิด ดีหรือ HDL ที่มีประโยชน์กับร่างกาย และยังไป เพิ่มไขมันชนิดร้าย LDL ให้มากขึ้น สิ่งเหล่านี้มีผล ให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ เบาหวาน มะเร็ง และทำให้ระบบภูมิต้านทาน ทำงานผิดปกติ นี้ยังไม่รวมถึงกรรมวิธีในการทำ ปาท่องโก๋ ที่ต้องใช้สารส้มซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อนอยู่ ตะกั่วนี้เองที่จะทำให้ไตเราทำงานหนักเพราะต้อง ขับสารนี้ออกไป

เมล็ดทานตะวัน ในเมล็ดทานตะวันนั้นมีกรด ไขมันไม่อิ่มตัวสูง แต่หากรับประทานในปริมาณมากเกินไป หรือบ่อยเกินไปอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ

เนื้อย่าง จะยิ่งอันตรายมากถ้ากินอาหารปิ้งย่างที่ติด ส่วนไหม้เกรียมมาก ๆ เนื่องจากกระบวนการปิ้งย่างจะก่อ ให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง และน้ำมันที่เรา ใช้ทาลงบนตะแกรงขณะย่าง เมื่อโดนความร้อนทำให้เกิด ปฏิกิริยาเคมี ซึ่งเป็นขบวนการเปลี่ยนรูปโมเลกุลของสาร ไขมันที่มีลักษณะยาว ให้เป็นชนิดวงแหวน วงแหวนบางวง จะรวมกันหลายวงได้สารที่ทำให้เกิดมะเร็งได

ผักโขม ปวยเล้ง เราไม่ได้บอกให้เลิกทานผักโขม และปวยเล้ง เพราะสองสิ่งนี้ย่อมมีประโยชน์มากกว่าโทษ เพียงแต่กรดออกซาเลตที่มีอยู่มากในผักสองชนิดนี้ เมื่อทานมากไป กรดออกซาแลตจะไปจับตัวรวมกับแร่ธาตุ บางชนิด เช่น โซเดียม แมกนีเซียม แคลเซียม และ โปรแตสเซียม จากกลายเป็นผนึกซึ่งผนึกออกซาเลตนี้เอง ร่างกายจะสามารถขับลิ่มต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเองทางการ ปัสสาวะในกรณีที่ผลึกมีขนาดเล็ก แต่ถ้ามีขนาดใหญ่ จะทำให้เกิดความเจ็บปวด อาการที่พบคือ ปวดบริเวณเอว สีข้าง ปัสสาวะติดขัด มีการติดเชื้อภายใน ปัสสาวะออกมา เป็นเลือด วิธีเลี่ยงความเสี่ยงคือ ทานผักสองอย่างนี้สลับ กับผักชนิดอื่น อย่าทานอยู่ชนิดเดียวซ้ำกันเป็นเวลานาน ๆ

บะหมี่สำเร็จรูป ส่วนประกอบของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นแป้งสาลี 60-70% ส่วน 15-20% เป็นไขมัน (อยู่ใน เครื่องปรุง) ที่เหลืออีก 5-6% เป็นเกลือและผงชูรสล้วน ๆ เพราะฉะนั้นถ้าทานบะหมี่สำเร็จรูปมากกว่า 1 ซองต่อวัน ร่างกายก็จะได้รับปริมาณโซเดียมเกินความต้องการถึง 50- 100% ซึ่งเป็นอันตรายต่อไต และยังจะทำให้ความดันโลหิต สูงอีกด้วย และในบะหมี่สำเร็จรูปมีสารกันบูดและสาร แต่งรสค่อนข้างสูง จึงเสี่ยงต่อการสะสมสารพิษในร่างกาย

ไข่เยี่ยวม้า ความเสี่ยงของอาหารชนิดนี้เริ่มตั้งแต่ กรรมวิธีการทำเลย การทำไข่เยี่ยวม้าต้องมีส่วนประกอบ ของสารที่ให้ความเป็นด่างสูง นั้นก็คือ แคลเซียมออกไซด์ โซเดียมคาร์บอเนต ขี้เถ้า บางสูตรอาจเติมเกลือและน้ำชา แก่ ๆ เพื่อเพิ่มรสชาติ สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการควบคุมค่า ความเป็นกรดด่างให้สมดุล หากมากไปหรือน้อยไปจะทำให้ ไข่ขาวไม่แข็งใสและเกิดลักษณะเหลว บางคนจึงเติมสาร ตะกั่ว เช่น ตะกั่วออกไซด์ จะช่วยให้ไข่แข็งตัว ผลที่ตามมา คือ หากทานมากไป เท่ากับทานสารตะกั่วเข้าไปด้วย โทษก็ คือตะกั่วจะทำให้การดูดแคลเซียมในร่างกาย ส่งผลให้ กระดูกโปร่งบาง หากทานมาก ๆ ร้ายแรงกว่านั้นก็ถึงขั้น เป็นหมันกันเลยทีเดียว

ที่มา : กุลสตรี
 

***วิตามินและแร่ธาตุต้านผมหงอกก่อนวัย***

โดยปกติผมหงอกตามธรรมชาติ เกิดจากเซลล์มิวเคอร์ (mucor) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตสารสีดำในร่างกายเสื่อมสภาพ จนไม่สามารถสร้างสารสีดำได้ จึงทำให้เกิดผมหงอก เซลล์นี้จะเสื่อมสภาพตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น

ส่วนผมหงอกก่อนวัยจะพบในคนที่อายุยังน้อย โดยเกิดจากการที่ผมชั้นคอร์เท็กซ์ (cortex) ไม่สามารถสร้างเซลล์ที่คอยผลิตเม็ดสีชื่อเมลาโนไซท์ส (melanocytes) ที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ไทโรซิเนส (tyrosinase) ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผม หรือ เมลานิน (melanin) ได้อย่างเพียงพอ ส่งผลให้เม็ดสีผมในร่างกายค่อยๆ ลดจำนวนลงไปทีละน้อยๆ จนเป็นเหตุทำให้ผมหงอกในที่สุด

อย่างไรก็ตาม ผมหงอกก่อนวัยมักไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ กินอาหารและยาบางชนิด มีความเครียดก็มีผลต่ออาการได้เหมือนกัน โดยเฉพาะกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยสำคัญ ซึ่งพบได้บ่อยในครอบครัวที่มีประวัติผมหงอกก่อนวัย ในผู้ชายมักจะเริ่มหงอกบริเวณขมับและเหนือจอน ส่วนผู้หญิงเริ่มจากบริเวณรอบๆ แนวไรผม ซึ่งจะเริ่มจากปลายผมก่อน แล้วค่อยๆ ลามไปที่โคนผม

นอกจากนี้ อาการผมหงอกก่อนวัย ยังเกิดจากโรคที่แฝงอยู่ในตัวคุณได้ด้วย เช่น โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยลง โรคซีด โรคผิวหนัง โรคเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ โรคกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ ในกรณีนี้เมื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่จนหายขาดแล้ว อาการผมหงอกจะหายไปเอง

วิตามินและแร่ธาตุต้านผมหงอกก่อนวัย

การที่ร่างกายจะสามารถสร้างเอนไซม์ไทโรซิเนส ซึ่งทำหน้าที่สร้างเม็ดสีผมได้อย่างเพียงพอนั้น คุณต้องได้รับวิตามินและแร่ธาตุเหล่านี้อย่างเพียงพอก่อน

1.ทองแดง พบมากในถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วลันเตา เมล็ดทานตะวัน ลูกเกด ลูกพลับ กล้วยตาก แครอท หัวไชเท้า เผือก มัน ผลไม้สดทุกชนิด

2.ไอโอดีน พบมากในอาหารทะเลทุกชนิด และอาหารที่ปรุงด้วยเกลือไอโอดีน

3.เหล็ก มีมากในปลา ลูกเกด ผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง กวางตุ้ง ผักบุ้ง ผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง ใบชะพลู ผักโขมหนาม และผักกูด

4.กรดโฟลิก พบมากในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเขียว ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ผักใบเขียวเข้ม เช่น คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง กวางตุ้ง แครอท ฟักทอง ไข่แดง และตับ

5.กรดแพนโทเทนิก หรือวิตามินบี 5 พบมากในข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด แอ๊ปเปิ้ล

6.พาบา อยู่ในกลุ่มวิตามินบีรวม ซึ่งเป็นวิตามินเทียมที่ละลายในน้ำ พบมากในจมูกข้าวสาลี ข้าวกล้อง โยเกิร์ต และผักใบเขียว

7.ไบโอติน เป็นหนึ่งในกลุ่มวิตามินบีคอมเพล็กซ์ พบมากในอาหารจำพวกถั่วเหลือง และซีเรียล (การกินยาปฏิชีวนะติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้การสังเคราะห์ไบโอตินในลำไส้ลดลง)

อาหารยับยั้งผมหงอกก่อนวัย

กลุ่มอาหารที่มีความจำเป็นต่อการยับยั้งผมหงอกก่อนวัยมีดังนี้

1.สาหร่ายทะเล นำมาปรุงเป็นอาหารจำพวกข้าวปั้น ต้มจืด หรืออบกรอบกินเป็นของขบเคี้ยวยามว่าง นอกจากจะช่วยยับยั้งผมหงอกก่อนวัยแล้ว ยังช่วยทำให้ผมดกดำด้วย เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก และไอโอดีน

2.งา โรยงาลงในอาหารในแต่ละมื้อ จะช่วยยับยั้งปัญหาผมหงอกก่อนวัยได้ เพราะในงามีไขมันจากธรรมชาติ โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินอี และเกลือแร่

3.เครื่องดื่มสมุนไพร ปั่นแครอทหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย หัวไชเท้าหั่นหยาบ 1/2 ถ้วย และน้ำเย็นจัด 1 ถ้วยเข้าด้วยกัน กรองเอาแต่น้ำใส่ในแก้ว ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ และเกลือป่น 1/4 ช้อนชา ดื่มทันที

ครีมหมักผมสมุนไพรต้านผมหงอ

เพียงนำสมุนไพรที่เราแนะนำต่อไปนี้ มาทำเป็นครีมหมักผม จะช่วยต้านปัญหาผมหงอกก่อนวัยของคุณได้

1.นำใบบัวบกสดปั่นกับน้ำสะอาดปริมาณพอเหมาะให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ แล้วนำมาเคี่ยวกับน้ำมะพร้าว จากนั้นนำมาชโลมผม หรือนวดหนังศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

2.นำใบบัวบกสดมาตำแล้วคั้นเอาแต่น้ำ แล้วชโลมผมทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นสระผมตามปกติด้วยแชมพูสมุนไพร

3.นำน้ำมันมะกอกนวดหนังศีรษะ ใช้ผ้าโพกหัวทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำผลมะกรูด 2-3 ผล เผาไฟพอสุก จากนั้นนำมาขยำกับน้ำ และนำน้ำที่คั้นได้ไปสระผม

4.ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ชโลมผมจนทั่ว อย่าให้เปียกมากเกินไป ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที ผมจะแห้งพอดี ทำเป็นประจำทุกเช้า-เย็น และหลังสระผม

เมื่อแก้ปัญหาอย่างถูกวิธี นอกจากจะไร้ปัญหาเรื่องผมหงอกก่อนวัยแล้ว อาจส่งผลให้คุณมีผมดกดำสลวยอย่างคนสุขภาพดีได้อีกด้วย ส่วนคนที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี แล้วมีปัญหาผมหงอกก่อนวัย ควรรีบไปพบแพทย์โรคผิวหนัง เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แน่ชัด และหาทางรักษาที่ถูกวิธีต่อไป

ที่มา : ชีวจิต