วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

*รู้ไว้...ผื่นผิวหนังหลังแพ้ยา***

ยาที่ผลิตออกมาจำหน่าย ที่จัดเป็นยาแผนปัจจุบัน ซึ่งแพทย์ใช้รักษาคนไข้นั้น จะมีการตรวจสอบคุณสมบัติ ตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และคุณสมบัติทางเคมีอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนเสมอว่า ออกฤทธิ์ที่ส่วนใดของร่างกาย ฤทธิ์อยู่นานกี่ชั่วโมง ขับถ่ายทางเหงื่อ ปัสสาวะ หรืออุจจาระกี่เปอร์เซ็นต์ วันหมดอายุเมื่อใด มีผลแทรกซ้อนอะไรบ้าง ใช้ในการรักษาโรคใด ขนาดรับประทานของยาแต่ละชนิดจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ป่วย รวมถึงบอกด้วยว่า ถ้ามีอาการแพ้ยาจะมีอาการอย่างไรได้บ้าง ตั้งแต่ คลื่นไส้ เวียนศีรษะ ง่วงนอน ผื่นคันตามตัว ปากแห้งหรือเจ็บปาก เบื่ออาหาร ท้องผูก หรือท้องเสีย ซึ่งแล้วแต่ว่าอาการใดจะเกิดขึ้นกับผู้ใด ซึ่งไม่เหมือนกันทุกคน

อาการแพ้ยาโดยมีผื่นขึ้นตามตัว ถือเป็นเรื่องอันตราย เพราะจะมีผื่นขึ้นเกือบทั่วตัว และคันมาก อาการผื่นคันมักจะเกิดภายหลังจากรับประทานยาได้ 1-3 สัปดาห์ จะเกิดตั้งแต่รับประทานยาชนิดนั้นเป็นครั้งแรก หรือครั้งต่อๆ มาก็ได้ โดยขึ้นกับภูมิต้านทานของบุคคลนั้นเอง ในการถามประวัติการรับประทานยาจากผู้แพ้ยานั้น แพทย์มักจะประสบความยากลำบากมาก กว่าจะได้ประวัติว่าแพ้ยาชนิดใด เพราะผู้แพ้ยามักจะนึกไม่ออกว่ารับประทาน
ยา ใดเข้าสู่ร่างกายบ้าง ยาที่ทำให้แพ้ได้มีมากมาย เริ่มตั้งแต่ยาอม ยาลดน้ำหนัก ยากันบูดที่ผสมในอาหารกระป๋อง หรืออาหารพร้อมปรุงรับประทาน ยานอนหลับยาระบาย ยาดองเหล้า ยาขับประจำเดือน ยาลดไข้แก้หวัด ยาปฏิชีวนะ ยาแก้ปวด ยาเบาหวานยาขับปัสสาวะ ยาลดความดัน และยาต่างๆ อีกมากมาย รวมถึงสมุนไพร อาหารเสริมและ วิตามินต่างๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศ ในปัจจุบันการแพ้ยาเกิดจากการแพ้สารเคมี ที่ผสมเป็นตัวยานั้นๆ

ผื่นแพ้ยามีอาการอย่างไร ?

ที่สำคัญคือ เริ่มมีผื่นแดงและคันทยอยขึ้นตามตัว เริ่มจากจุดใดก็ได้ และผื่นขึ้นค่อนข้างเร็วภายใน 1-2 วัน กระจายตามตัว มีไข้ต่ำๆ คล้ายเป็นหวัด แล้วมีอาการเฉพาะคือ อาการคันมาก ผื่นทั้งหมดเกิดภายใน 1-3 สัปดาห์ หลังจากรับประทานยาหรือสารเคมีที่ผสมลงในอาหาร อาการดังกล่าวนี้ พบได้บ่อยที่สุดในบรรดาผื่นแพ้ยาทั้งหมด และผื่นจะยุบลงเมื่อหยุดยา ในรายที่ผื่นกระจายตามตัวมากมายและคันมาก จะต้องไปพบแพทย์ เพื่อรับประทานยาแก้แพ้ และแก้การอักเสบของผิวหนัง

ยังมีผื่นแพ้ยาอีกชนิด ซึ่งมักเกิดภายหลังจากรับประทานยา TETRACYCLINE หรือ SULFA คือจะมีผื่นแดง เป็นวงกลมหรือวงรี ผื่นกระจายไม่มาก ประมาณ 1-2 แห่ง เช่น ริมฝีปาก แขน เมื่อผื่นแดงยุบลงจะกลายเป็นวงกลมสีดำและติดตัวไปอีกนาน โดยไม่เหลืออาการแสบหรือคันแต่อย่างใด เมื่อผู้ป่วยบังเอิญไม่ทราบว่านี่คือผื่นแพ้ยา แล้วกลับไปรับประทานยาดังกล่าวอีก ก็จะปรากฏอาการเช่นเดิมและที่เดิมของร่างกายด้วย (FIXED DRUG ERUPTION)ภายหลังหยุดยา ผื่นจะยุบเป็นสีดำเช่นเดิม แม้จะมีอาการไม่มาก แต่ถ้าสงสัยว่าจะแพ้ยาควรให้แพทย์ดูแลและหา สาเหตุว่าแพ้ยาชนิดใด ชื่อยาอะไร จะได้ไม่รับประทานซ้ำซาก เพราะการแพ้ยาบ่อยๆ จะเกิดอาการรุนแรงมากขึ้นกว่าครั้งแรกๆ และถ้าเป็นมากอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ลมพิษ เป็นผื่นแพ้ยาอีกชนิด มักเกิดภายหลังการรับประทานยาแอสไพรินหรือเพนนิซิลิน อาการของลมพิษ คือ เป็นผื่นเนื้อนูนสีแดง คันมาก 2-3 ชั่วโมงจะหายไปหมด แล้วขึ้นกระจายทั่วๆ ไปอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกหลายวัน
หรือเป็นแรมเดือน แม้เลิกรับประทานยาแล้ว ลมพิษก็อาจจะยังปรากฏให้เห็นเป็นระยะๆ เพราะฉะนั้นเมื่อมีอาการ ลมพิษขึ้นกับผู้ใด จึงควรงดรับประทานยาแก้ปวดลดไข้ กลุ่มแอสไพริน และใช้พาราเซตามอลแทนจะปลอดภัยกว่า

ส่วนยาเพนนิซิลินนั้น ร้านขายยามักจะจ่ายให้ในรายที่เป็นหวัด เจ็บคอเสมอ ถ้ารับประทานแล้วมีลมพิษ หรือเคยมีผื่นลมพิษในอดีต ไม่ควรเสี่ยงที่จะรับประทานยาเพนนิซิลินอีก เพราะยังมียาปฏิชีวนะอื่นๆ ใช้ทดแทนได้และอัตราการแพ้น้อยมาก เช่น อีรีโทรมัยซิน ซึ่งผลิตได้เองในประเทศไทย และราคาไม่แพงมาก

ควรปฏิบัติตัวอย่างไร เมื่อต้องรับประทานยา

1. ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เพราะโอกาสจะได้รับประทานยาถูกต้องกับโรคภัยไข้เจ็บ ที่เป็นอยู่นั้นยากมากเพราะต้องทราบก่อนว่าเป็นโรคอะไร จึงจะใช้ยาได้ถูกกับโรค แพทย์จะบอกว่า เป็นโรคอะไรได้ถูกต้องแม่นยำมากกว่าพนักงานขายของต่างๆ
2. เมื่อจะกินยา ควรมีข้อมูลที่แน่นอนว่า เป็นยาชื่ออะไร หรือถ้ายังไม่ทราบชื่อ ก็จะสามารถขอทราบชื่อยาได้ภายหลังจากแพทย์หรือร้านขายย

3. เมื่อเคยแพ้ยาอะไร ต้องจดจำชื่อยาให้แม่นยำไปตลอดชีวิต และเมื่อเจ็บป่วยคราวต่อไป ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบว่า เคยแพ้ยาใด เพื่อจะได้จ่ายยาชนิดอื่นทดแทน เพราะถ้าไม่แจ้งแพทย์ให้ทราบอาจได้รับยาที่เคยแพ้มาก่อนและอาการแพ้ครั้งต่อไป จะรุนแรงมากกว่าครั้งแรกๆ และแก้ไขได้ลำบากขึ้นกว่าเดิม

4. เมื่อมีผื่นขึ้นตามตัว พร้อมกับมีอาการคันมาก ภายหลังจากการรับประทานยาใด 1-3 สัปดาห์ ควรหยุดยานั้นทันทีและควรพบแพทย์เพื่อการรักษาทันที

อาหารเสริมและสมุนไพรชนิดต่างๆ ประกอบด้วยสารเคมีซึ่งถือเป็นสิ่งแปลกปลอมต่อร่างกายการรับประทานจะมีผลดีพร้อมผลข้างเคียง รวมถึงอาการแพ้ โดยแสดงอาการออกทางการเป็นผื่นผิวหนัง ถ้ารุนแรงจะแสดงอาการทางอวัยวะในร่างกายด้วย ยกตัวอย่างว่า การรับประทานขี้เหล็กในรูปสมุนไพร ติดต่อกันปริมาณมากและนาน ทำให้เกิดอาการตับอักเสบได้

การรับประทานอาหารที่มีคุณภาพดี มีคุณค่าทางอาหาร ไม่รับประทานอาหารไขมันสูง หวานจัด เค็มจัด หมั่นออกกำลังกาย บริหารจิตใจให้เข้มแข็ง จะช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บได้ตามสมควร เจ็บป่วยน้อยลง และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาแผนปัจจุบัน ยาจีน สมุนไพร และอาหารเสริมต่างๆ โดยถือตามกระแสนิยมและการโฆษณา รวมทั้งการขายตรง ต้องบริโภคสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างมีสติจะเป็นการปลอดภัย และไม่ล่อแหลมต่อการแพ้ยาด้วย

ที่มา : นิตยสารใกล้หมอ/พญ.เยาวเรศ นาคแจ้ง/สาระแห่งสุขภาพ
ช่วงหน้าแล้ง แดดจัด ลมแรง ฝุ่นมาก ตัวการนำไปสู่ต้อลม ต้อเนื้อครับ

ต้อเนื้อและต้อลม
เป็นโรคตาที่พบได้บ่อยมาก แต่ไม่เป็นอันตรายร้ายแรงแบบต้อหินและต้อกระจก ต้อเนื้อเป็นเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงของเยื่อบุตา (ตาขาว) มีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อสีแดงๆ รูปสามเหลี่ยมงอกจากเยื่อบุตาลามเข้าไปบนกระจกตา (ตาดำ) มักพบบริเวณหัวตามากกว่าหางตา ต้อเนื้อจะค่อยๆ โตอย่างช้าๆ ส่วนใหญ่มักเป็นนานร่วมสิบปีจึงจะรู้สึกว่าเป็นมากขึ้น ถ้าเป็นมากจะลามเข้าถึงกลางกระจกตาปิดบังการมองเห็นบางส่วน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตามัวได
ต้อลมเป็นโรคในกลุ่มเดียวกับต้อเนื้อแต่เป็นน้อยกว่า มีลักษณะเป็นก้อนเนื้อขนาดเล็ก นูน สีขาว หรือเหลืองอยู่ข้างๆ กระจกตา แต่ไม่ได้ลุกลามไปบนกระจกตา
ต้อเนื้อและต้อลมอาจมีการอักเสบได้ ทำให้เยื่อบุตาบริเวณนั้นแดง ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บตาและเคืองตา

สาเหตุที่ทำให้เกิดต้อเนื้อและต้อลม
ต้อเนื้อและต้อลม เกิดจากการที่ตาได้รับรังสีอุลตราไวโอเลตจากแสงแดดเป็นเวลานานร่วมกับการโดนฝุ่นละออง ควัน ลม ความแห้งแล้ง อากาศร้อนและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อตา โรคนี้จึงมักเกิดกับผู้ที่อยู่ในเขตร้อนและผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง มีหลายคนเข้าใจผิดว่าต้อเนื้อเกิดจากการรับประทานเนื้อ จึงป้องกันโดยการไม่รับประทานเนื้อ เพราะกลัวว่าจะทำให้เป็นมากขึ้นซึ่งไม่ถูกต้อง เพราะโรคนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากอาหารที่รับประทาน คำว่า “เนื้อ” ในที่นี้มาจากลักษณะของโรคที่เห็นเป็นก้อนเนื้องอกขึ้นมา

อาการ
ผู้ที่เป็นต้อเนื้อและต้อลม จะมีอาการเคืองตา แสบตา คันตา ตาแดง น้ำตาไหล อาการจะเป็นมากขึ้นเมื่ออยู่กลางแจ้ง โดนแดด โดนลม ในผู้ที่เป็นน้อยมักไม่มีอาการผิดปกติ โดยทั่วไปต้อเนื้อและต้อลมจะไม่ทำให้เกิดอาการตามัว ยกเว้นในรายที่ต้อเนื้อเป็นมากจนลามเข้ามากลางกระจกตา บังการมองเห็นจึงจะมีอาการตามัว

การรักษา
• ใส่แว่นกันแดด ในเวลาที่ออกกลางแจ้งเพื่อลดอาการต่างๆ ทำให้รู้สึกสบายตาขึ้น
• ต้อลมและต้อเนื้อที่เป็นไม่มาก ผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติ ไม่จำเป็นต้องรักษา สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้โดยไม่มีอันตราย
• ให้ยาหยอดตา ผู้ที่เป็นต้อลมและต้อเนื้อถ้ามีอาการเคืองตา น้ำตาไหล ตาแดง แพทย์จะให้ยาหยอดตาเพื่อบรรเทาอาการระคายเคืองตาและทำให้ตาไม่แดง แต่ยาหยอดตาไม่สามารถทำให้ต้อเนื้อและต้อลมหายไปได้
• การผ่าตัด ในผู้ที่เป็นต้อเนื้อซึ่งลุกลามเข้าไปบนกระจกตาขนาดพอสมควร แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาโดยการผ่าตัด แต่ถ้าเป็นน้อยก็ไม่จำเป็นต้องทำผ่าตัด ส่วนต้อลมนั้นไม่จำเป็นต้องผ่าตัดออกเพราะเป็นเพียงก้อนเนื้อขนาดเล็กๆ ที่ไม่มีอันตรายต่อตา

ที่มา ร พ. จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
"โรคความดันโลหิตต่ำ ภัยร้ายที่ไม่อาจมองข้าม"

มักมีอาการวิงเวียนหน้ามืด อ่อนเพลีย แม้ว่านอนหลับและทานอาหารได้ดี

เป็นที่ทราบกันว่าโรคความดันโลหิตสูงนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างยิ่ง จึงทำให้ผู้คนเอาใจใส่และให้ความสำคัญทว่าภัยของโรคความดันโลหิตต่ำนั้นคนทั่วไปมักไม่รู้เท่าทัน เรามักจะพบผู้ป่วยที่มีอาการวิงเวียนหน้ามืด อ่อนเพลีย ไม่สดชื่นแม้ว่านอนหลับและทานอาหารได้ดีตามปกติ อีกทั้งยังเสริมอาหารและวิตามินบำรุงร่างกายอย่างเต็มที่ ส่วนด้านการงานก็ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยและไม่มีความกดดัน ทว่ายังคงรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรง โดยเฉพาะหลักจากรับประทานอาหารมือกลางวันแล้วจะรู้สึกง่วงซึม เรี่ยวแรงหดหาย นั่งฟุบโต๊ะหาวหวอดๆ จนน้ำหูน้ำตาไหล ไม่มีสมาธิในการทำงานยิ่งไปกว่านั้นอาจมีอาการใจสั่น ขี้หนาว ในขณะที่เพื่อนร่วมงานล้วนคิดว่าอุณหภูมิจากเครื่องปรับอากาศกำลังพอเหมาะแต่ตนเองกลับรู้สึกว่าช่างหนาวเย็นจับใจจนต้องสวมเสื้อคลุมทับ แต่พอไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลกลับไม่พบความผิดปกติ ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ควรตรวจวัดความดันโลหิตเพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าอาการที่เกิดขึ้นจะเป็นผลมาจากความดันโลหิตต่ำ

อย่างไรถึงเข้าข่ายความดันโลหิตต่ำ

โดยทั่วไปในทางการแพทย์ ความดันโลหิตของผู้ใหญ่ที่ต่ำกว่า 90/60 มิลลิเมตรปรอท (MmHg) และความดันโลหิตของผู้สูงอายุที่ต่ำกว่า 100/70 มิลลิเมตรปรอท (MmHg) จะถูกจัดว่าเข้าข่ายความดันโลหิตต่ำ ซึ่งจะพบบ่อยในสตรีที่ร่างกายอ่อนแอ ผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นความดันโลหิตต่ำ

ความดันโลหิตต่ำมีชนิดใดบ้าง...

ความดันโลหิตต่ำแบ่งออกเป็น 2 ชนิดคือ ชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง โดยความดันโลหิตต่ำชนิดเฉียลพลันหมายถึงว่า ความดันโลหิตต่ำลงอย่างฮวบฮาบจากเกณฑ์ปกติ ซึ่งจะแสดงอาการหลัก ๆ คือ หน้ามืดและช็อคหมดสติ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นลมหรือหัวใจล้มเหลว แต่ภาวะความดันโลหิตต่ำที่เราพูดถึงกันโดยทั่วไปนั้นหายถึงความดันโลหิตต่ำชนิดเรื้อรัง ซึ่งแบ่งประเภทได้ดังต่อไปนี้

1.ความดันโลหิตต่ำที่เป็นมาแต่กำเนิดหรือไม่ทราบสาเหตุ: ส่วนใหญ่พบว่าเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมหรือรูปร่างที่อ่อนแอผอมบาง ซึ่งมักจะพบในหญิงสาวรูปร่างผอมเพรียวและผู้สูงอายุ บางรายไม่แสดงอาการเจ็บป่วยใด ๆ แต่ในรายที่เป็นมากอาจจะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ใจสั่น วิงเวียน ศีรษะ ปวดศีรษะหรืออาจจะถึงขั้นเป็นลม โดยเฉพาะในหน้าร้อนที่อุณหภูมิสูงอาการจะยิ่งชัดเจนขึ้

2.ความดันโลหิตต่ำจากการเปลี่ยนอิริยาบถ: หมายถึงความดันโลหิตจะลดต่ำลงอย่างรวดเร็วจากการเปลี่ยนท่าทางจากการนอนมาเป็นการนั่งหรือยืนในทันที หรือมีการยืนนาน ๆ ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ส่งผลให้สมองทำงานผิดปกติจนเกิดอาการเวียนศีรษะ ตาพร่า คลื่นไส้ ใจสั่น ปวดต้นคอ ปวดหลังฯลฯ

3.ความดันโลหิตต่ำจากการใช้ยาหรือการเจ็บป่วยของร่างกาย: เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานน้อยกว่าปกติ โรคมะเร็ง โรคตับอักเสบ วัณโรค โรคหัวใจรูมาติก ขาดสารอาหารเรื้อรัง ยาลดความดันโลหิต ยากกล่อมประสาท ยาต้านโรคซึมเศร้า เป็นต้น นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงใช้ยาความดันมากเกินขนาดเพื่อให้ความดันโลหิตต่ำลงโดยเร็วและลดต่ำลงมากยิ่งขึ้น ก็จะส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลงอย่างเฉียบพลันหลังปัสสาวะ เนื่องจากปัสสาวะถูกขับออกไปทำให้ความดันในช่องท้องลดต่อลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ปริมาณเลือดที่กลับไปสู่หัวใจลดน้อยลงด้วย ทำให้เกิดอาการเป็นลมเนื่องจากความดันโลหิตต่ำลงอย่างเฉียบพลันซึ่งมักจะเกิดขึ้นในระหว่างที่ผู้สูงอายุตื่นขึ้นมาปัสสาวะกลางดึง

โรคความดันโลหิตต่ำมีอาการอย่างไร

ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำบางรายจะไม่แสดงอาการเจ็บป่วยใด ๆ แต่บางรายจะมีอาการหูอื้อ ปวดศีรษะ ตาลาย ปวดหลังและบั้นเอว มือเท้าเย็น อ่อนเพลีย สมองล้า ขี้หลงขี้ลืม ขาดสมาธิ หรือรู้สึกว่าสมองถูกบีบคั้น ปวดแสบปวดร้อน หรือท้องเดิน ท้องผูก มีแก๊สสะสมในลำไส้ ท้องอืดท้องเฟ้อ อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ หรือประจำเดือนมาผิดปกติ ฯลฯ

อันตรายจากความดันโลหิตต่ำไม่อาจมองข้ามได้

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่าความดันโลหิตและไขมันในเลือดนั้นเหมือนกันคือยิ่งต่ำยิ่งดี ทว่าแม้จะต่ำก็ต้องมีขีดจำกัด หากความดันโลหิตต่ำเกินไปย่อมส่งผลร้ายต่อร่างกาย ทำให้เลือดไหลเวียนช้าลง เลือดไปหล่อเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไม่เพียงพอ ง่ายต่อการเกิดลิ่มเลือดทำให้หลอดเลือดอุดตัน หลอดเลือดฝอยส่วนปลายในร่างกายขาดเลือดไปเลี้ยง รวมท้งเกิดการคั่วของคาร์บอนไดออกไซด์และของเสียจากกระบวนการเมตาบอลิซึมและที่สำคัยคือ อาจจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสมองเนื่องจากขาดออกซิเจนและสารอาหารไปหล่อเลี้ยง ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกเวียนศีรษะ ปวดศีรษะ หน้ามืด ขี้หลงขี้ลืมสมองล้า ไม่มีสมาธิฯลฯ หากไม่มีการบำบัดอย่างทันท่วงทีอาจทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายลดลง ความสามารถในกาองมองเห็นและการได้ยินลดลง อ่อนเพลียซึมเศร้าก่อให้เกิดอาการอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุหรือเป็นตัวเร่งอาการให้หนักขึ้นหรืออาจส่งผลให้หกล้มเนื่องจากเป็นลม ทำให้กระดูกหักได้ อีกทั้งเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดสมองตีบตันหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย

การแพทย์จีนมีวิธีบำบัดโรคความดันโลหิตต่ำอย่างไร...

การแทพย์จีนได้จัดโรคความดันโลหิตต่ำให้อยู่ในกลุ่มโรคที่เกิดจากการพร่องลงของพลังซี่และเลือดในร่างกายหรือที่เรียกว่าชี่พร่อง-เลือดพร่องนั่นเอง เลือดกับพลังชี่มีคุณสมบัติต่างกันคือ เลือดเป็นหยินชอบอยู่นิ่งและให้ความชุ่มชื้น ส่วนพลังชี่เนหยางชอบความเคลื่อนไหวและให้ความอบอุ่น ความสัมพันธ์ของเลือดกับพลังชี่แท้ที่จริงแล้วก็คือความสัมพันธ์ของหยิน-หยางในระบบการไหลเวียนของเลือดนั่นเอ

-เลือดกับพลังชี่ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน; กระบวนการเกิดและการสร้างเลือดต้องอาศัยพลังชี่และการเคลื่อนไหวของพลังชี่ ถ้าพลังชี่สมบูรณ์ เลือดก็จะสร้างขึ้นมาได้อย่างเพียงพอ และในทางกลับกันพลังชี่ก็ต้องอาศัยเลือดไปหล่อเลี้ยงและให้ความชุ่มชื้น การไหลเวียนของเลือดจะนำพาพลังชี่ไปสู่ทุก ๆ เซลล์ของร่างกาย ถ้าเลือดพร่องลง พลังชี่ก็จะพร่องตามไปด้วย ทำให้ชี่พร่องและเลือดพร่องมักจะเกิดขึ้นร่วมกันอยู่เสมอ

-พลังชี่ผลักดันการไหวเวียนของเลือด: เลือดเป็นหยินชอบอยู่นิ่งไม่สามารถไหลเวียนได้เองต้องอาศัยแรงผลักดันจากพลังชี่ จึงกล่าวได้ว่า พลังวิ่งเลือดเดิน พลังนิ่งเลือดหยุด ถ้าพลังชี่พร่องลง เลือดก็จะไหลเวียนช้าลง ทำให้ชี่และเลือดไม่สามารถไหลเวียนไปหล่อเลี้ยงร่างกายอย่างทั่วถึงส่งผลให้เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ อวัยวะต่าง ๆ ได้รับการหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอจนเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้

การแพทย์แผนจีนจึงนิยมให้วิธีบำรุงชี่-บำรุงเลือดเพื่อบำบัดภาวะความดันโลหิตต่ำ เมื่อชี่-เลือดในร่างกายสมบูรณ์ขึ้น ความดันโลหิตก็จะค่อย ๆ กลับสู่ภาวะปกติอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากโรคความดันโลหิตต่ำก็จะทุเลาลงหรือหายไปในที่สุด

วิธีการดูแลร่างกายสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตต่ำ

1.วัดความดัน: หมั่นวัดระดับความดันโลหิตของตนเองอย่างสม่ำเสมอ และใส่ใจกับการเปลี่ยนแปลงของระดับความดันโลหิตในร่างกาย

2.พักผ่อนให้เพียงพอ: ความเหน็ดเหนื่อย การนอนหลับไม่เพียงพอต่างก็ยิ่งทำให้ความดันโลหิตต่ำลงดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการตรากตรำทำงานเกินควร หลีกเลี่ยงการนอนดึก และเวลานอนหลับไม่ควรนอนหนุนหมอนที่ต่ำเกินไป

3.หลีกเลี่ยงการยืนนาน ๆ หรือเปลี่ยนอิริยาบทอย่างรวดเร็วเกินไป: การเก็บของไม่ควรก้มศีรษะลงโดยตรงแต่ควรทรุดตัวนั่งยอง ๆ ลงก่อน ยามตื่นนอนไม่ควรลุกยืนขึ้นมาในทันทีทันใด แต่ควรรอให้แน่ใจว่าร่างกายเข้าที่เข้าทางแล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้น

4.ใส่ใจสภาพแวดล้อมและการแต่งกาย: ไม่ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศร้อนอบอ้าวนานเกินไป เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ความดันโลหิตต่ำลง นอกจากนี้การผูกเน็คไทแน่นเกินไป การสวมเสื้อที่มีปกเสื้อสูงหรือคอเสื้อแคบเกินไปอาจจะไปกดทับหลอดเลือดแดงบริเวณต้นคอส่งผลให้ความดันต่ำลงจนหน้ามืดเป็นลมได้

5.เพิ่มสารอาหารให้เพียงพอ: ผู้ที่มีแนวโน้มเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำนั้น หากได้รับสารอาหารไม่เพียงพอจะทำให้ความดันโลหิตยิ่งต่ำลงไปอีก แต่หากเสริมอาหารให้เพียงพอจะช่วยให้ความดันโลหิตเข้าใกล้ระดับปกติมากยิ่งขึ้นอาการที่ไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ก็มีโอกาสที่จะลดลงหรือหายไปได้
6.ลดการรับปรทานอาหารที่ทำให้ความดันโลหิตต่ำลง: เช่น เชลเลอรี ฟักเขียว ถั่วเขียว มะระ หอมหัวใหญ่ สาหร่ายทะเล หัวไชเท้า เป็นต้น

7.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายทำให้ระบบประสาทเกิดความสมดุล หลอดเลือดหัวใจแข็งแรงทั้งยังรักษาความดันโลหิตต่ำให้ดีขึ้น

8.เลือกประเภทการออกกำลังอย่างเหมาะสม: ผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำขณะเปลี่ยนอิริยาบท ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังที่ต้องยืนนาน ๆ หรือต้องเปลี่ยนท่าทางบ่อย ๆ ส่วนผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำจากโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายก่อนการออกกำลังควรตรวจสอบสมรรถภาพร่างกายก่อนทางที่ดีควรออกกำลังภายใต้คำแนะนำของแพทย์และครูผู้เชี่ยวชาญ

9.ใช้ยาอย่างระมัดระวัง: หากต้องไปพบแพทย์เนื่องจากอาการเจ็บป่วยใด ๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบล่วงหน้าว่าตนมีอาการความดันโลหิตต่ำ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลให้ความดันโลหิตลดต่ำลงไปอีก

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

เบียร์มีประโยชน์หรือไม่ 

มีผลการศึกษาที่ออกมาพบว่า เบียร์ที่เราดื่มนี่แหละมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนไวน์ การดื่มเบียร์พอประมาณในแต่ละวัน (2 แก้วต่อวัน) และยังช่วยลดอาการหัวใจวาย และเป็นการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย ผลการศึกษาว่าคนฝรั่งเศลมีอัตราการเป็นโรคหัวใจและโรคอ้วนต่ำกว่าคนชาติอื่นๆ เนื่องจากการดื่มไวน์ประจำ แต่เป็นเรื่องที่แปลกเป็นอย่างมากว่า ประโยชน์ของเบียร์และคุณค่าของเบียร์ต่อสุขภาพนั้นไม่ได้รับการเผยแพร่มากเหมือนไวน์

จิม แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญไวน์กล่าวไว้ เมื่อเปรียบเทียบวัตถุดิบที่ใช้ในการทำเบียร์และไวน์ จะพบว่าไวน์นั้นทำมาจากองุ่น น้ำ และยีสต์ องุ่นเมื่อผ่านการหมักจะกลายเป็นน้ำตาล ไฟเบอร์และโครเมี่ยม แต่สารพวกนี้จะเสื่อมสลายไประหว่างขบวนการหมักและกรองไวน์ ในยีสต์นั้นอุดมไปด้วยวิตามินบีนานาชนิด แต่ก็จะไม่เหลือวิตามินเลยเมื่อผ่านกระบวนการกรองและบรรจุก่อนนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

เบียร์ ผลิตมาจากธัญพืช น้ำและยีสต์ ธัญพืชที่ใช้บ่อยที่สุดในการผลิตเบียร์ก็คือ บาร์เลย์และวีท (อุตสาหกรรมเบียร์ราคาถูกจะใช้ ข้าวโพดและข้าวทดแทน) ซึ่ง อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ไม่ถูกทำลายระหว่างกระบวนการหมักและกรอง และคุณค่าวิตามินต่างๆ จากยีสต์ก็ยังคงอยู่กับผลิตภัณ์เมื่อนำออกสู่ตลาด

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของเบียร์

เรื่องที่ 1 : กันยายนปี 1999 วารสาร ดิ นิวอิงแลนด์ เจอร์แนล ออฟ เมดิซีน ได้ลงบทความเกี่ยวกับผลของการดื่มเบียร์แต่พอประมาณจะช่วยลดอาการโรคหัวใจในกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงได้ถึง 20% บทความยังกล่าวว่าการดื่มเบียร์เป็นประจำทุกวันหรืออาทิตย์ละครั้งในขนาดเบียร์ 1 ขวด ไม่มีความแตกต่างในการลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย

เรื่องที่ 2 : มหาวิทยาลัย เท็กซัส เซ้าท์เวสเทิร์น เมดิคัล เซ็นเตอร์ ใน ดัลลัส พฤษภาคม 1999) รายงานว่าการดื่มเบียร์ในปริมาณพอประมาณจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ 30-40% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มเลย (เบียร์มีการโพลีฟินอล ซึ่งเป็นแอนตี้อ๊อกซิเด้น เหมือนไวน์แดงและมีสารตัวนี้มาากว่าไวน์ขาวถึง 4-5 เท่า)

เรื่องที่ 3 : แอลกอฮอลมีผลในการช่วยเพิ่มคอลเรสตอรอลดี (HDL) ในเส้นเลือดและช่วยป้องกันการก่อตัวเป็นลิ่มของเลือด

เรื่อง 4 : เบียร์เต็มไปด้วยวิตามินบี 6 ซึ่งช่วยลดการก่อตัวของ กรดอิมิโน โฮโมซิสตีน ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคหัวใจ คนที่ร่างกายมีกรดตัวนี้สูงจึงมีโอกาสเสี่ยงสูงในการเป็นโรคหัวใจ

เรื่องที่ 5 : ผลการศึกษาใหม่จาก TNO Nutrition and Food Research Institute in Utrecht กล่าวว่าการดื่มเบียร์ไม่ช่วยลดระดับ กรดอิมิโน โฮโมซิสตีน แต่การดื่มไวน์และสรุาประเภทอื่นจะทำให้กรดตัวนี้เพิ่มสูงถึง 10%

เรื่องที่ 6 : เบียร์สามารถเพิ่มวิตามินบี 6 ให้กับพลาสม่าในเลือดถึง 30% ซึ่งเป็นสิ่งที่ไวน์และสุราประเภทอื่นไม่สามารถให้ได้

เรื่องที่ 7 : เบียร์ปราศจากทั้งไขมันและคอลเรสเตอรอล

เรื่องที่ 8 : เบียร์มีผลในการผ่อนคลายจึงช่วยลดอาการเครียดและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น

เรื่องที่ 9 : เบียร์ให้ผลในแง่บวกแก่ผู้สูงอายุ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี หลับสบายและปัสสาวะคล่อง

มาถึงตอนนี้หลายๆท่านอ่านแล้วรู้ว่า มีดีเกินความเป็นจริงไปหรือเปล่า แต่นี่คือเรื่องจริงค่ะ ในสมัยกรีกโบราณนับย้อนหลังไปครั้งอียีปต์โบราณที่ใช้เบียร์ในการรักษาโรคบางชนิด



ดื่มเบียร์ทำให้อ้วน จริงหรือไม่?

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วนเหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ วันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

นักวิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำการสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น

จากการสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และคณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี

การดื่มเบียร์เราควรที่จะรู้ประมาณในการรับประทาน และในปริมาณที่เหมาะสมค่ะ หากรับบประทานเกินความจำเป็นก็จะเป็นโทษได้นะคะ ดังนั้นเราควรจะรู้จักปริมาณของการดื่ม ถ้าดื่มมากเกินความจำเป็นนั่นคือ เป็นโทษแน่นอน

ประโยชนของเบียร์ต่อร่างกายยังมีเพิ่มเติมอีกไหมเรามาดูกันเพิ่มเติมครับ

ป้องกันโรคหัวใจ : จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 40-60% (แต่ไม่ควรดื่มเกินวันละครึ่งลิตรต่อวันครับ)
ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต : สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุตตัน
ช่วยลดความดันโลหิต : แพทย์ชาวฮอลแลน์ด์ และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ : ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวารเหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง : เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน (แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น)
ช่วยให้อายุยืน : จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1-2 แก้ว มักจะมีอายุยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารป้องกันโรคหัวใจ
ป้องกันท้องร่วง : โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกับกรมนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วมไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
ต้านความเครียด : นักวิชาการมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร
ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต : นักวิชาการจากเมื่องเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกสีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
ช่วยต้านมะเร็ง : เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระต้วร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟินอยด์ หลัก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยังโปรตีนทีช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
ช่วยให้ผิวสวย : ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามันบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเชลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจลและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนอ่อนนุ่ม


ประโยชน์ของเบียร์ที่น่าทึ่

ประคบเอ็นร้อยหวายด้วยเบียร์กระป๋อง
เบียร์กระป๋องเย็นๆใช้ช่วยประคบกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดได้เช่นเดียวกับถุงน้ำแข็ง ด้วยการนำกระป๋องเบียร์ที่แช่เย็นไปประคบส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เจ็บปวดเนื่องจากความเมื่อยล้า ต้นคอ หรืออาการปวดหัว ก็สามารถทำได้ครับ

หมากรุกเบียร์
กระป๋องเบียร์หรือขวดเบียร์สามารถนำมาใช้เป็นตัวเดินหมากรุกเบียร์ได้ มีวิธีง่ายๆ โดยใช้กระดาษแข็งวางซ้อนกระดาษลายกระดานหมากรุก ส่วนกฎกติกาการเล่นก็เหมือนกับการเล่นหมากรุกทั่วไป แต่พิเศากว่าก็คือ เราสามารถดื่มตัวหมากรุกได้ด้วย

ใช้ดับไฟ
ในกรณีที่คุณไม่มีเครื่องดับเพลิงอยู่ใกล้ๆ เบียร์สักกระป๋องนำมาใช้แทนได้อย่างดี เพียงแค่เขย่ากระป๋องเบียร์เล็กน้อยและราดลงไปบนไฟ (แต่เหมาะเฉพาะสำหรับไฟเล็กๆ น้อยเท่านั้น) หากไฟลุกไหม้บนตะแกรงปิ้งอาหาร อย่าเผลอเอาเบียร์ไปดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่เชียวครับ

ใช้ในการหมักเนื้อ
เบียร์มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เราจึงสามารถนำไปหมักเนื้อได้ เบียร์จะทำให้เนื้อที่เหนียวนุ่มลง และข้อดีอีกอย่างสำหรับการหมักเนื้อด้วยเบียร์คือ มันจะไม่ทำให้รสชาติของเนื้อเปลี่ยนไปด้วย

วิธีการหมักก็คือ ใช้ส้อมจิ้มๆเนื้อให้เป็นรูๆ เล็กน้อย จากนั้นทำไปใส่ในกล่องที่มีฝาปิดแล้วเติมใส่เบียร์เข้าไปสักพอประมาณและนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือหากต้องการให้เบียร์ซึมเข้าเนื้อดีขึ้น ควรนำไปแช่ในช่องแช่แข็งไว้ข้ามคืนก่อนนำมาปรุงอาหาร

ปลอดล็อกที่ขึ้นสนิมด้วยเบียร์
ถ้าตัวล็อกประตูของคุณขึ้นสนิมจนเปิดไม่ออก ลองนำเบียร์ราดลงไป แล้วทิ้งไว้สักครู่ คาร์บอเนตในเบียร์จะช่วยละลายสนิมที่ติดอยุ่ได้ครับ

ปลุกชีพให้กับหญ้าที่ตายแล้
น้ำตาลหมักในเบียร์มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริฐเติบโตของพืชและฆ่าเชื้อราได้ลองพ่นเบียร์ลงไปตรงจุดที่หญ้าเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลในสนามหญ้าที่ตายจะดูดซับพลังงานจากน้ำดาลหมักในเบียร์ ทำให้หญ้าคืนมาเขียวได้อีกครั้ง

หาทิศทางในยามจำเป็น (เข็มทิศหาย หลงทาง)
ในกรณที่คุณหลงป่า เข็มทิศก็ดันมาหายอีกละของติดตัวมีเพียงเบียร์กระป๋องเท่านั้นจะทำอย่างไรดี เข็มเย็บผ้า + ชามในเล็ก และชุดชั้นใน (ที่ยังไม่ได้ใส่ 555++) เราสามารถหาทิศทางได้โดย ขั้นแรกให้เทเบียร์ลงไปในชามเล็ก และปล่อยให้หมดฟอง จากนั้นถูกเข็มไปมาลงบนชุดชั้นใน (ว่าแต่ว่าใช้อย่างอื่นไม่ได้เหรอ ต้องวานผู้รู้มาตอบแล้ว) เพื่อให้เกิดไฟฟ้าสถิต แล้วนำเข็มไปลอยในชามที่ใส่เบียร์เข็มจะหยุดแล้วชี้นไปทางทิศเหนือ (อันนี้ต้องนำไปทดลองดูก่อน หากท่านผู้ใดนำไปทดลองแล้วได้ผลอย่างไร ช่วยกรุณามาโพสแจ้งด้วย ว่าทำได้จริงหรือเปล่า)

เบียร์แต่งและบำรุงผม
เบียร์ 2 – 3 หยด สามารถนำมาใช้ในการแต่งผมได้ เนื่องจากคุณสมบัติที่เหนียวหนะพอๆ กับเจลแต่งผม และยังสามารถทำให้ผมเราสวยได้ ผมที่ลีบแบน จะพองตัวหนาขึ้น และมีสุขภาพผมที่ดีขึ้น ซึ่งวิธีก็มีอยู่ว่า หลังจากสระผมเสร็จแล้วทำการเบียร์ลงบนเส้นผมพอหมาดๆ ขยี้ให้ทั่วทั้งศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

นอกจากเบียร์จะช่วยให้ผมสวยหนาขึ้นพองขึ้นแล้ว เบียร์ยังมีคุณสมบัติดีท๊อกอีกด้วย เบียร์สามารถขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมได้อีกด้วย เพียงอาทิตย์ละครั้ง ผมของเราก็จะเริ่มมีสุขภาพที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับง่ายของทำดู

แก้การนอนกรน
ลองนำเบียร์กระป๋องใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกลัดไว้ด้วยเข็มกลัดจากนั้นก็นอน แต่ต้องใส่กลับข้างก็คือเอาด้านหน้าของเสื้อที่มีอยู่ในกระเป๋ามาใส่เป็นด้านหลังแทน เพราะนักวิจัยพบว่า คนเรามักจะกรนเวลาที่นอนงาย กระป๋องเบียร์อยู่ด้านหลังจะช่วยไม่ให้คุณพลิกตัวมานอนหงายได้ง่ายๆครับ



ดูแล้วเบียร์นั้นมีประโยชน์มากมายเลยนะคะ แต่การที่จะเป็นประโยชน์นั้น คือ การรับประทานในอัตราที่เหมาะสม พอเหมาะพอควร หาดื่มในปริมาณที่มากเกินไป หรือมากเกินความจำเป็นเบียร์ก็สามารถให้โทษกับเราได้เหมือนกัน ของทุกอย่างที่มีประโยชน์ก็มีโทษอยู่ในตัวมันเองด้วย ของบางอย่างที่เหมือนจะมีโทษ แต่ก็ยังมีประโยชน์ในตัวมันเองด้วยเช่นกัน ดังนั้น อย่าลืมนะคะ ใช้ในดื่ม กิน ในปริมาณที่เหมาะสม จะเป็นการดีที่สุดครับ

ขอบคุณข้อมูล
credit by ohozaa.com
ประโยชน์ของมะละกอ

มะละกอในฐานะผักพื้นบ้าน

มะละกอถูกนำมาใช้บริโภคเป็นผักได้หลายส่วนด้วยกัน เช่น ผล(ดิบ) ยอด ใบ และลำต้น ส่วนที่ใช้มากที่สุด คือ ผลดิบ ซึ่งอาจใช้บริโภคดิบก็ได้ เช่น นำมาปรุงตำส้มที่ชาวไทยรู้จักดี หรือนำมาทำให้สุกเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้ม (หรือต้มกะทิ) เป็นผักจิ้ม แกงส้ม ต้มกับเนื้อ ฯลฯ นอกจากนี้ยังนำเนื้อมะละกอดิบมาดองกับน้ำส้มเป็นผักดอง หรือนำเนื้อมะละกอมาดองเกลือ ตากแห้ง เป็นตังฉ่าย ใช้ปรุงอาหารจีนก็ได้

ยอดอ่อนและใบมะละกอ ก็นำมาใช้ปรุงอาหารเป็นผักได้เช่นเดียวกัน แต่ในเมืองไทยยังไม่นิยมกัน อาจจะเป็นเพราะรังเกียจความขมหรือยางในใบและยอด แต่ในหลายประเทศนิยมกันมาก เช่น บนเกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น ข้อดีประการหนึ่งของการนำใบและยอด มะละกอมาบริโภคเป็นผัก ก็คือ มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ชนิดต่างๆ จึงอยากขอฝากให้ชาวไทยที่มีฝีมือในการปรุงอาหาร ช่วยนำใบและยอดมะละกอมาทดลองประกอบอาหาร ให้ มีรสชาติที่คนไทยยอมรับ เป็นอาหารไทยชนิดหนึ่งได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยในอนาคตมาก

ในส่วนลำต้นมะละกอนั้น เมื่อปอกเปลือกด้านนอกออก จะได้เนื้อภายในที่มีสีขาวครีมและค่อนข้างอ่อนนุ่ม คล้านเนื้อผักกาดหัวจีน (ไชเท้า) จึงสามารถนำมาปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับผักกาดหัว โดยเฉพาะนำมาดองเค็ม ตากแห้ง เหมือนหัวผักกาดเค็ม (ไชโป๊) มะละกอนับเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงชนิดหนึ่ง เช่น เนื้อในผลซึ่งแม้คุณค่าจะด้อยกว่าใบและยอด แต่ก็นับว่าสูงโดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แร่ธาตุเหล็ก และแคลเซียม เป็นต้น

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของมะละกอ

ในต่างประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่รู้จักมะละกอในฐานะผัก เพราะมะละกอสุกเป็นผลไม้ที่ดีมากชนิดหนึ่ง เป็นที่นิยมกินกันทั่วโลกไม่เฉพาะในเขตร้อนที่ปลูกมะละกอได้เท่านั้น แต่ยังนำเข้าไปในประเทศเขตอบอุ่นที่ปลูกมะละกอไม่ได้อีกด้วย มะละกอสุกสามารถกินสด บรรจุกระป๋อง นำไปทำแยม และทำน้ำผลไม้ได้ดี มีรสอร่อย สีสวยน่ากิน คุณค่าทางโภชนาการสูง มีคุณค่าทางสมุนไพร มีผลให้กินตลอดปี ผลิตได้ง่าย ราคาไม่แพง ฯลฯ มะละกอมีความสำคัญมากในอุตสาหกรรมผลิตเอนไซม์ปาเปอีน (papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารหมัก ทำให้เนท้อเปื่อยนุ่ม ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เป็นต้น

เอนไซม์ปาเปอีนได้จากยางมะละกอ ซึ่งกรีดแผลบนผลมะละกอดิบแล้วปล่อยให้แห้ง นำยางมะละกอแห้งมาสกัดเอนไซม์ปาเปอีน และเอนไซม์อื่นๆ บางชนิด ยางมะละกอนี้แม่บ้านชาวไทยรู้จักนำมาใช้ประโยชน์นานแล้ว เช่น ใช้หมักเนื้อให้อ่อนนุ่ม ใส่ในต้มแกงให้เนื้อเปื่อยยุ่ย เป็นต้น

มะละกอมีคุณค่าด้านสมุนไพรมากมายแทบทุกส่วนของพืชชนิดนี้ เช่น

ยาง แก้ปวดฟัน ถ่ายพยาธิไส้เดือน กัดหูด ใช้ลบรอยฝ้าบนใบหน้า
ราก ต้มกินขับปัสสาวะ
เมล็ดแก่ ถ่ายพยาธิ แก้กระหายน้ำ
ใบ บำรุงหัวใจ
ผลดิบ เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับปัสสาวะ
ผลสุก บำรุงธาตุ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาระบายอ่อนๆ
ในสมัยก่อนหมอดูมักใช้กระดานหมอดู ที่ทำจากเปลือกมะละกอ โดยการทุบเปลือกแยกเนื้อออกจนหมด เหลือแต่เส้นใยแล้วลงรักและเขม่าจนแข็งดำ ตากให้แห้ง ก็จะได้แผ่นกระดานดำที่เบาและทนทานมาก

ตำราการปลูกต้นไม้ในบ้านบางฉบับ มีข้อห้ามมิให้ปลูกมะละกอในบริเวณบ้าน เพราะถือตามเสียง ซึ่งมีความหมายคล้ายคลึงกับคำที่ว่า อัปมงคล คือ มะละกอ มีคำว่า “มะละ” พ้องกับบคำว่า “มร” (มะระ) ซึ่งแปลว่า ตาย จึงถือว่าเป็นอัปมงคล(คล้ายลั่นทมที่คล้ายคำว่า “ระทม”) แต่เท่าที่สังเกตดูทั่วไปในปัจจุบันพบว่า ชาวไทยส่วนใหญ่ไม่ถือตามตำราฉบับนี้ จึงปลูกมะละกอในบริเวณบ้านกันทั่วไป

แม้แต่ในสมุดคู่มือว่าด้วยการทำสวนครัวที่พิมพ์แจกเมื่อปี พ.ศ.2482 ในช่วงจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และรณรงค์ให้ชาวไทยทำสวนครัวกันอย่างจริงจั งในสมุดคู่มือเล่นนั้นแนะนำให้ปลูกมะละกอเอาไว้ในบริเวณบ้าน โดยย่กย้องมะละกอว่า “เป็นอาหารอย่างดี หาที่เปรียบได้ยาก” คำยกย่องนั้นยังคงใช้ได้อยู่จนกระทั่งวันนี้

หากท่านผู้อ่านเห็นคุณประโยชน์ของมะละกอ ก็ขอให้ช่วยกันปลูกตามกำลังที่จะทำได้ ถ้าปลูกไม่ได้ก็อาจช่วยโดยการหาซื้อมะละกอมาบริโภคให้มากขึ้น เพื่อเกษตรกรไทยจะมีรายได้จากมะละกอเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูล นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 179