วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

เบียร์มีประโยชน์หรือไม่ 

มีผลการศึกษาที่ออกมาพบว่า เบียร์ที่เราดื่มนี่แหละมีประโยชน์ต่อสุขภาพเหมือนไวน์ การดื่มเบียร์พอประมาณในแต่ละวัน (2 แก้วต่อวัน) และยังช่วยลดอาการหัวใจวาย และเป็นการเป็นโรคหัวใจอีกด้วย ผลการศึกษาว่าคนฝรั่งเศลมีอัตราการเป็นโรคหัวใจและโรคอ้วนต่ำกว่าคนชาติอื่นๆ เนื่องจากการดื่มไวน์ประจำ แต่เป็นเรื่องที่แปลกเป็นอย่างมากว่า ประโยชน์ของเบียร์และคุณค่าของเบียร์ต่อสุขภาพนั้นไม่ได้รับการเผยแพร่มากเหมือนไวน์

จิม แอนเดอร์สัน ผู้เชี่ยวชาญไวน์กล่าวไว้ เมื่อเปรียบเทียบวัตถุดิบที่ใช้ในการทำเบียร์และไวน์ จะพบว่าไวน์นั้นทำมาจากองุ่น น้ำ และยีสต์ องุ่นเมื่อผ่านการหมักจะกลายเป็นน้ำตาล ไฟเบอร์และโครเมี่ยม แต่สารพวกนี้จะเสื่อมสลายไประหว่างขบวนการหมักและกรองไวน์ ในยีสต์นั้นอุดมไปด้วยวิตามินบีนานาชนิด แต่ก็จะไม่เหลือวิตามินเลยเมื่อผ่านกระบวนการกรองและบรรจุก่อนนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

เบียร์ ผลิตมาจากธัญพืช น้ำและยีสต์ ธัญพืชที่ใช้บ่อยที่สุดในการผลิตเบียร์ก็คือ บาร์เลย์และวีท (อุตสาหกรรมเบียร์ราคาถูกจะใช้ ข้าวโพดและข้าวทดแทน) ซึ่ง อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ไม่ถูกทำลายระหว่างกระบวนการหมักและกรอง และคุณค่าวิตามินต่างๆ จากยีสต์ก็ยังคงอยู่กับผลิตภัณ์เมื่อนำออกสู่ตลาด

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับประโยชน์ของเบียร์

เรื่องที่ 1 : กันยายนปี 1999 วารสาร ดิ นิวอิงแลนด์ เจอร์แนล ออฟ เมดิซีน ได้ลงบทความเกี่ยวกับผลของการดื่มเบียร์แต่พอประมาณจะช่วยลดอาการโรคหัวใจในกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงได้ถึง 20% บทความยังกล่าวว่าการดื่มเบียร์เป็นประจำทุกวันหรืออาทิตย์ละครั้งในขนาดเบียร์ 1 ขวด ไม่มีความแตกต่างในการลดความเสี่ยงของอาการหัวใจวาย

เรื่องที่ 2 : มหาวิทยาลัย เท็กซัส เซ้าท์เวสเทิร์น เมดิคัล เซ็นเตอร์ ใน ดัลลัส พฤษภาคม 1999) รายงานว่าการดื่มเบียร์ในปริมาณพอประมาณจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ 30-40% เมื่อเทียบกับคนที่ไม่ดื่มเลย (เบียร์มีการโพลีฟินอล ซึ่งเป็นแอนตี้อ๊อกซิเด้น เหมือนไวน์แดงและมีสารตัวนี้มาากว่าไวน์ขาวถึง 4-5 เท่า)

เรื่องที่ 3 : แอลกอฮอลมีผลในการช่วยเพิ่มคอลเรสตอรอลดี (HDL) ในเส้นเลือดและช่วยป้องกันการก่อตัวเป็นลิ่มของเลือด

เรื่อง 4 : เบียร์เต็มไปด้วยวิตามินบี 6 ซึ่งช่วยลดการก่อตัวของ กรดอิมิโน โฮโมซิสตีน ที่เกี่ยวข้องกับการเกิดของโรคหัวใจ คนที่ร่างกายมีกรดตัวนี้สูงจึงมีโอกาสเสี่ยงสูงในการเป็นโรคหัวใจ

เรื่องที่ 5 : ผลการศึกษาใหม่จาก TNO Nutrition and Food Research Institute in Utrecht กล่าวว่าการดื่มเบียร์ไม่ช่วยลดระดับ กรดอิมิโน โฮโมซิสตีน แต่การดื่มไวน์และสรุาประเภทอื่นจะทำให้กรดตัวนี้เพิ่มสูงถึง 10%

เรื่องที่ 6 : เบียร์สามารถเพิ่มวิตามินบี 6 ให้กับพลาสม่าในเลือดถึง 30% ซึ่งเป็นสิ่งที่ไวน์และสุราประเภทอื่นไม่สามารถให้ได้

เรื่องที่ 7 : เบียร์ปราศจากทั้งไขมันและคอลเรสเตอรอล

เรื่องที่ 8 : เบียร์มีผลในการผ่อนคลายจึงช่วยลดอาการเครียดและช่วยให้นอนหลับดีขึ้น

เรื่องที่ 9 : เบียร์ให้ผลในแง่บวกแก่ผู้สูงอายุ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี หลับสบายและปัสสาวะคล่อง

มาถึงตอนนี้หลายๆท่านอ่านแล้วรู้ว่า มีดีเกินความเป็นจริงไปหรือเปล่า แต่นี่คือเรื่องจริงค่ะ ในสมัยกรีกโบราณนับย้อนหลังไปครั้งอียีปต์โบราณที่ใช้เบียร์ในการรักษาโรคบางชนิด



ดื่มเบียร์ทำให้อ้วน จริงหรือไม่?

เคยสงสัยกันบ้างไหมว่าทำไม่คนไทยถึงเปรียบเทียบคนที่มีหุ่นตุ้ยนุ้ยว่าอ้วนเหมือนตุ่มเหมือนโอ่ง แล้วทำไมฝรั่งมังค่าเขาถึงบอกว่าคนที่มีพุงพลุ้ยเนี่ยอ้วนเพราะเบียร์ วันนี้นักวิจัยกลุ่มหนึ่งเขาเกิดพบว่า การบอกว่าคนเรานั้นอ้วนเพราะเบียร์เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง

นักวิจัยจากอังกฤษและสาธารณรัฐเช็กเกิดนึกสงสัยในคำเรียกขานดังกล่าวจึงได้ทำการสำรวจชาวเช็กเกือบ 2,000 คน ซึ่งเป็นที่รู้โดยทั่วกันว่าชาวเช็กนั้นเป็นนักดื่มเบียร์ตัวยง เพราะปริมาณการดื่มเบียร์ของชาวเช็กต่อคนนั้นมากกว่าคนชาติอื่น แล้วคณะวิจัยก็ได้พบว่า การมีพุงกับการดื่มเบียร์ปริมาณมากๆ ไม่เกี่ยวข้องกันเลย ดังนั้นการบอกว่าคนเราจะอ้วนเพราะดื่มเบียร์จึงเป็นการไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ ดร.มาร์ติน โบบัค จากยูนิเวอร์ซิตี คอลเลจ ลอนดอน (University College London) และคณะวิจัยจากอินสติติวต์ ออฟ คลินิกคอล แอนด์ เอ็กซ์เพอริเมนทอล เมดิซีน (Institute of Clinical and Experimental Medicine) ในกรุงปราก ได้ให้หญิง 1,098 คน และชาย 891 คน ที่มีอายุระหว่าง 25 ถึง 64 ปี ทำแบบสอบถาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา โดยไม่มีการกล่าวถึงเครื่องดื่มอื่นๆ ทั้งสิ้น

จากการสำรวจพบว่า ชายชาวเช็กจะดื่มเบียร์โดยเฉลี่ยราว 3.1 ลิตรต่อสัปดาห์ ขณะที่ผู้หญิงจะดื่ม 0.3 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยในจำนวนนี้มีชายอยู่ 3 คนที่ดื่มเบียร์อย่างหนัก คือดื่มราว 14 ลิตรต่อสัปดาห์ และมีหญิงเพียง 5 คนที่ดื่มถึง 7 ลิตรต่อสัปดาห์ โดยก่อนและหลังการดื่มเบียร์ คณะวิจัยจะให้แพทย์วัดขนาดของเอว และสะโพก ชั่งน้ำหนัก และบันทึกดัชนีมวลรวมของอาสาสมัครไว้ตรวจสอบด้วย

และคณะวิจัยก็พบว่า การมีพุงไม่เกี่ยวข้องกับการดื่มเบียร์เลยสักนิด โดยกล่าวว่า การค้นพบครั้งนี้ของเขาชี้ให้เห็นว่า การกล่าวอ้างว่าคนอ้วนหรือมีพุงเพราะการดื่มเบียร์มากเกินไปจึงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง

ด้านนักวิจัยจากอิตาลีชี้ว่า ผู้ชายทุกคนมีแนวโน้มที่จะอ้วนลงพุงได้ ตามความผันแปรของยีนของแต่ละคน ขณะที่ไนเจล เดนบี จากสมาคมโภชนาการแห่งอังกฤษกล่าวว่า ผู้ที่ได้รู้ข่าวนี้ก็ไม่ควรวิ่งแจ้นเข้าผับเข้าบาร์หรือไปหาลานเบียร์เพื่อซดเบียร์ให้หายอยาก เพราะไม่ว่าจะรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มชนิดใดก็ตามที่ผสมแอลกอฮอล์ก็สามารถอ้วนได้หากรับประทานมากเกินไป และหากต้องการดื่มจริงๆ ก็ควรดื่มแต่พอดี

การดื่มเบียร์เราควรที่จะรู้ประมาณในการรับประทาน และในปริมาณที่เหมาะสมค่ะ หากรับบประทานเกินความจำเป็นก็จะเป็นโทษได้นะคะ ดังนั้นเราควรจะรู้จักปริมาณของการดื่ม ถ้าดื่มมากเกินความจำเป็นนั่นคือ เป็นโทษแน่นอน

ประโยชนของเบียร์ต่อร่างกายยังมีเพิ่มเติมอีกไหมเรามาดูกันเพิ่มเติมครับ

ป้องกันโรคหัวใจ : จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่ม 40-60% (แต่ไม่ควรดื่มเกินวันละครึ่งลิตรต่อวันครับ)
ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์อัมพาต : สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุตตัน
ช่วยลดความดันโลหิต : แพทย์ชาวฮอลแลน์ด์ และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ : ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวารเหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดีนักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง : เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูกสามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน (แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น)
ช่วยให้อายุยืน : จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่าผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1-2 แก้ว มักจะมีอายุยืนยาวเนื่องจากเบียร์มีสารป้องกันโรคหัวใจ
ป้องกันท้องร่วง : โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกับกรมนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วมไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
ต้านความเครียด : นักวิชาการมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร
ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต : นักวิชาการจากเมื่องเฮลซิงกิประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกสีเซียมซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
ช่วยต้านมะเร็ง : เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระต้วร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟินอยด์ หลัก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยังโปรตีนทีช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
ช่วยให้ผิวสวย : ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามันบี 3 และไนอาซินซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเชลล์ผิวใหม่ช่วยสร้างคอลลาเจลและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนอ่อนนุ่ม


ประโยชน์ของเบียร์ที่น่าทึ่

ประคบเอ็นร้อยหวายด้วยเบียร์กระป๋อง
เบียร์กระป๋องเย็นๆใช้ช่วยประคบกล้ามเนื้อ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดได้เช่นเดียวกับถุงน้ำแข็ง ด้วยการนำกระป๋องเบียร์ที่แช่เย็นไปประคบส่วนต่างๆ ของร่างกายที่เจ็บปวดเนื่องจากความเมื่อยล้า ต้นคอ หรืออาการปวดหัว ก็สามารถทำได้ครับ

หมากรุกเบียร์
กระป๋องเบียร์หรือขวดเบียร์สามารถนำมาใช้เป็นตัวเดินหมากรุกเบียร์ได้ มีวิธีง่ายๆ โดยใช้กระดาษแข็งวางซ้อนกระดาษลายกระดานหมากรุก ส่วนกฎกติกาการเล่นก็เหมือนกับการเล่นหมากรุกทั่วไป แต่พิเศากว่าก็คือ เราสามารถดื่มตัวหมากรุกได้ด้วย

ใช้ดับไฟ
ในกรณีที่คุณไม่มีเครื่องดับเพลิงอยู่ใกล้ๆ เบียร์สักกระป๋องนำมาใช้แทนได้อย่างดี เพียงแค่เขย่ากระป๋องเบียร์เล็กน้อยและราดลงไปบนไฟ (แต่เหมาะเฉพาะสำหรับไฟเล็กๆ น้อยเท่านั้น) หากไฟลุกไหม้บนตะแกรงปิ้งอาหาร อย่าเผลอเอาเบียร์ไปดับเพลิงที่มีขนาดใหญ่เชียวครับ

ใช้ในการหมักเนื้อ
เบียร์มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เราจึงสามารถนำไปหมักเนื้อได้ เบียร์จะทำให้เนื้อที่เหนียวนุ่มลง และข้อดีอีกอย่างสำหรับการหมักเนื้อด้วยเบียร์คือ มันจะไม่ทำให้รสชาติของเนื้อเปลี่ยนไปด้วย

วิธีการหมักก็คือ ใช้ส้อมจิ้มๆเนื้อให้เป็นรูๆ เล็กน้อย จากนั้นทำไปใส่ในกล่องที่มีฝาปิดแล้วเติมใส่เบียร์เข้าไปสักพอประมาณและนำไปแช่ไว้ในตู้เย็นประมาณ 2-3 ชั่วโมง หรือหากต้องการให้เบียร์ซึมเข้าเนื้อดีขึ้น ควรนำไปแช่ในช่องแช่แข็งไว้ข้ามคืนก่อนนำมาปรุงอาหาร

ปลอดล็อกที่ขึ้นสนิมด้วยเบียร์
ถ้าตัวล็อกประตูของคุณขึ้นสนิมจนเปิดไม่ออก ลองนำเบียร์ราดลงไป แล้วทิ้งไว้สักครู่ คาร์บอเนตในเบียร์จะช่วยละลายสนิมที่ติดอยุ่ได้ครับ

ปลุกชีพให้กับหญ้าที่ตายแล้
น้ำตาลหมักในเบียร์มีคุณสมบัติกระตุ้นการเจริฐเติบโตของพืชและฆ่าเชื้อราได้ลองพ่นเบียร์ลงไปตรงจุดที่หญ้าเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลในสนามหญ้าที่ตายจะดูดซับพลังงานจากน้ำดาลหมักในเบียร์ ทำให้หญ้าคืนมาเขียวได้อีกครั้ง

หาทิศทางในยามจำเป็น (เข็มทิศหาย หลงทาง)
ในกรณที่คุณหลงป่า เข็มทิศก็ดันมาหายอีกละของติดตัวมีเพียงเบียร์กระป๋องเท่านั้นจะทำอย่างไรดี เข็มเย็บผ้า + ชามในเล็ก และชุดชั้นใน (ที่ยังไม่ได้ใส่ 555++) เราสามารถหาทิศทางได้โดย ขั้นแรกให้เทเบียร์ลงไปในชามเล็ก และปล่อยให้หมดฟอง จากนั้นถูกเข็มไปมาลงบนชุดชั้นใน (ว่าแต่ว่าใช้อย่างอื่นไม่ได้เหรอ ต้องวานผู้รู้มาตอบแล้ว) เพื่อให้เกิดไฟฟ้าสถิต แล้วนำเข็มไปลอยในชามที่ใส่เบียร์เข็มจะหยุดแล้วชี้นไปทางทิศเหนือ (อันนี้ต้องนำไปทดลองดูก่อน หากท่านผู้ใดนำไปทดลองแล้วได้ผลอย่างไร ช่วยกรุณามาโพสแจ้งด้วย ว่าทำได้จริงหรือเปล่า)

เบียร์แต่งและบำรุงผม
เบียร์ 2 – 3 หยด สามารถนำมาใช้ในการแต่งผมได้ เนื่องจากคุณสมบัติที่เหนียวหนะพอๆ กับเจลแต่งผม และยังสามารถทำให้ผมเราสวยได้ ผมที่ลีบแบน จะพองตัวหนาขึ้น และมีสุขภาพผมที่ดีขึ้น ซึ่งวิธีก็มีอยู่ว่า หลังจากสระผมเสร็จแล้วทำการเบียร์ลงบนเส้นผมพอหมาดๆ ขยี้ให้ทั่วทั้งศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที หลังจากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด

นอกจากเบียร์จะช่วยให้ผมสวยหนาขึ้นพองขึ้นแล้ว เบียร์ยังมีคุณสมบัติดีท๊อกอีกด้วย เบียร์สามารถขจัดสารตกค้างจากผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมได้อีกด้วย เพียงอาทิตย์ละครั้ง ผมของเราก็จะเริ่มมีสุขภาพที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เคล็ดลับง่ายของทำดู

แก้การนอนกรน
ลองนำเบียร์กระป๋องใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อและกลัดไว้ด้วยเข็มกลัดจากนั้นก็นอน แต่ต้องใส่กลับข้างก็คือเอาด้านหน้าของเสื้อที่มีอยู่ในกระเป๋ามาใส่เป็นด้านหลังแทน เพราะนักวิจัยพบว่า คนเรามักจะกรนเวลาที่นอนงาย กระป๋องเบียร์อยู่ด้านหลังจะช่วยไม่ให้คุณพลิกตัวมานอนหงายได้ง่ายๆครับ



ดูแล้วเบียร์นั้นมีประโยชน์มากมายเลยนะคะ แต่การที่จะเป็นประโยชน์นั้น คือ การรับประทานในอัตราที่เหมาะสม พอเหมาะพอควร หาดื่มในปริมาณที่มากเกินไป หรือมากเกินความจำเป็นเบียร์ก็สามารถให้โทษกับเราได้เหมือนกัน ของทุกอย่างที่มีประโยชน์ก็มีโทษอยู่ในตัวมันเองด้วย ของบางอย่างที่เหมือนจะมีโทษ แต่ก็ยังมีประโยชน์ในตัวมันเองด้วยเช่นกัน ดังนั้น อย่าลืมนะคะ ใช้ในดื่ม กิน ในปริมาณที่เหมาะสม จะเป็นการดีที่สุดครับ

ขอบคุณข้อมูล
credit by ohozaa.com
ประโยชน์ของมะละกอ

มะละกอในฐานะผักพื้นบ้าน

มะละกอถูกนำมาใช้บริโภคเป็นผักได้หลายส่วนด้วยกัน เช่น ผล(ดิบ) ยอด ใบ และลำต้น ส่วนที่ใช้มากที่สุด คือ ผลดิบ ซึ่งอาจใช้บริโภคดิบก็ได้ เช่น นำมาปรุงตำส้มที่ชาวไทยรู้จักดี หรือนำมาทำให้สุกเสียก่อน ไม่ว่าจะเป็นต้ม (หรือต้มกะทิ) เป็นผักจิ้ม แกงส้ม ต้มกับเนื้อ ฯลฯ นอกจากนี้ยังนำเนื้อมะละกอดิบมาดองกับน้ำส้มเป็นผักดอง หรือนำเนื้อมะละกอมาดองเกลือ ตากแห้ง เป็นตังฉ่าย ใช้ปรุงอาหารจีนก็ได้

ยอดอ่อนและใบมะละกอ ก็นำมาใช้ปรุงอาหารเป็นผักได้เช่นเดียวกัน แต่ในเมืองไทยยังไม่นิยมกัน อาจจะเป็นเพราะรังเกียจความขมหรือยางในใบและยอด แต่ในหลายประเทศนิยมกันมาก เช่น บนเกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย เป็นต้น ข้อดีประการหนึ่งของการนำใบและยอด มะละกอมาบริโภคเป็นผัก ก็คือ มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ชนิดต่างๆ จึงอยากขอฝากให้ชาวไทยที่มีฝีมือในการปรุงอาหาร ช่วยนำใบและยอดมะละกอมาทดลองประกอบอาหาร ให้ มีรสชาติที่คนไทยยอมรับ เป็นอาหารไทยชนิดหนึ่งได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทยในอนาคตมาก

ในส่วนลำต้นมะละกอนั้น เมื่อปอกเปลือกด้านนอกออก จะได้เนื้อภายในที่มีสีขาวครีมและค่อนข้างอ่อนนุ่ม คล้านเนื้อผักกาดหัวจีน (ไชเท้า) จึงสามารถนำมาปรุงอาหารได้เช่นเดียวกับผักกาดหัว โดยเฉพาะนำมาดองเค็ม ตากแห้ง เหมือนหัวผักกาดเค็ม (ไชโป๊) มะละกอนับเป็นผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงชนิดหนึ่ง เช่น เนื้อในผลซึ่งแม้คุณค่าจะด้อยกว่าใบและยอด แต่ก็นับว่าสูงโดยเฉพาะวิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี แร่ธาตุเหล็ก และแคลเซียม เป็นต้น

ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของมะละกอ

ในต่างประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่รู้จักมะละกอในฐานะผัก เพราะมะละกอสุกเป็นผลไม้ที่ดีมากชนิดหนึ่ง เป็นที่นิยมกินกันทั่วโลกไม่เฉพาะในเขตร้อนที่ปลูกมะละกอได้เท่านั้น แต่ยังนำเข้าไปในประเทศเขตอบอุ่นที่ปลูกมะละกอไม่ได้อีกด้วย มะละกอสุกสามารถกินสด บรรจุกระป๋อง นำไปทำแยม และทำน้ำผลไม้ได้ดี มีรสอร่อย สีสวยน่ากิน คุณค่าทางโภชนาการสูง มีคุณค่าทางสมุนไพร มีผลให้กินตลอดปี ผลิตได้ง่าย ราคาไม่แพง ฯลฯ มะละกอมีความสำคัญมากในอุตสาหกรรมผลิตเอนไซม์ปาเปอีน (papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารหมัก ทำให้เนท้อเปื่อยนุ่ม ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เป็นต้น

เอนไซม์ปาเปอีนได้จากยางมะละกอ ซึ่งกรีดแผลบนผลมะละกอดิบแล้วปล่อยให้แห้ง นำยางมะละกอแห้งมาสกัดเอนไซม์ปาเปอีน และเอนไซม์อื่นๆ บางชนิด ยางมะละกอนี้แม่บ้านชาวไทยรู้จักนำมาใช้ประโยชน์นานแล้ว เช่น ใช้หมักเนื้อให้อ่อนนุ่ม ใส่ในต้มแกงให้เนื้อเปื่อยยุ่ย เป็นต้น

มะละกอมีคุณค่าด้านสมุนไพรมากมายแทบทุกส่วนของพืชชนิดนี้ เช่น

ยาง แก้ปวดฟัน ถ่ายพยาธิไส้เดือน กัดหูด ใช้ลบรอยฝ้าบนใบหน้า
ราก ต้มกินขับปัสสาวะ
เมล็ดแก่ ถ่ายพยาธิ แก้กระหายน้ำ
ใบ บำรุงหัวใจ
ผลดิบ เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับปัสสาวะ
ผลสุก บำรุงธาตุ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาระบายอ่อนๆ
ในสมัยก่อนหมอดูมักใช้กระดานหมอดู ที่ทำจากเปลือกมะละกอ โดยการทุบเปลือกแยกเนื้อออกจนหมด เหลือแต่เส้นใยแล้วลงรักและเขม่าจนแข็งดำ ตากให้แห้ง ก็จะได้แผ่นกระดานดำที่เบาและทนทานมาก

ตำราการปลูกต้นไม้ในบ้านบางฉบับ มีข้อห้ามมิให้ปลูกมะละกอในบริเวณบ้าน เพราะถือตามเสียง ซึ่งมีความหมายคล้ายคลึงกับคำที่ว่า อัปมงคล คือ มะละกอ มีคำว่า “มะละ” พ้องกับบคำว่า “มร” (มะระ) ซึ่งแปลว่า ตาย จึงถือว่าเป็นอัปมงคล(คล้ายลั่นทมที่คล้ายคำว่า “ระทม”) แต่เท่าที่สังเกตดูทั่วไปในปัจจุบันพบว่า ชาวไทยส่วนใหญ่ไม่ถือตามตำราฉบับนี้ จึงปลูกมะละกอในบริเวณบ้านกันทั่วไป

แม้แต่ในสมุดคู่มือว่าด้วยการทำสวนครัวที่พิมพ์แจกเมื่อปี พ.ศ.2482 ในช่วงจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี และรณรงค์ให้ชาวไทยทำสวนครัวกันอย่างจริงจั งในสมุดคู่มือเล่นนั้นแนะนำให้ปลูกมะละกอเอาไว้ในบริเวณบ้าน โดยย่กย้องมะละกอว่า “เป็นอาหารอย่างดี หาที่เปรียบได้ยาก” คำยกย่องนั้นยังคงใช้ได้อยู่จนกระทั่งวันนี้

หากท่านผู้อ่านเห็นคุณประโยชน์ของมะละกอ ก็ขอให้ช่วยกันปลูกตามกำลังที่จะทำได้ ถ้าปลูกไม่ได้ก็อาจช่วยโดยการหาซื้อมะละกอมาบริโภคให้มากขึ้น เพื่อเกษตรกรไทยจะมีรายได้จากมะละกอเพิ่มขึ้นอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูล นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่ม : 179