วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555



ความมหัศจรรย์ของน้ำมะพร้าว...

...จากการวิจัยน้ำมะพร้าวมีความมหัศจรรย์อยู่ 3 ประการคือ ช่วยชำระล้าง ช่วยรักษา และให้พลังงานแก่ร่างกาย ซึ่งในมะพร้าว 1 ลูก เต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะต้นมะพร้าวเป็นต้นไม้ที่มีความสูงมาก สามารถดูดซับพลังงานจากแสงอาทิตย์ได้ดี ส่วนของรากสามารถดูดซับสารอาหารจากดิน และถูกกลั่นกรองผ่านชั้นของเนื้อเยื่อและเซลล์ต่างๆของเนื้อไม้หลายชั้น จนขึ้นไปสู่ยอดมะพร้
าว และซึมซับไปยังลูกมะพร้าว ส่งผลให้ลูกมะพร้าว 1 ลูกเต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารมากกมาย และมีความสะอาดและบริสุทธิ์ และไม่มีสิ่งเจือปน

ผลมะพร้าวอ่อนจะประกอบไปด้วยน้ำมะพร้าว และเนื้อมะพร้าวซึ่งให้พลังงานสูง ในน้ำมะพร้าวใช้เป็นเครื่องดื่มที่ให้เกลือแร่ได้ เนื่องจากอุดมไปด้วยโปรแทสเซี่ยมและสารละลายไอโซโทนิก (สารละลายที่มีความเข้มข้นเท่ากับภายในเซลล์ ซึ่งไม่ทำให้เซลล์เสียรูปทรง) ด้วยเหตุนี้ น้ำมะพร้าวจึงเป็นน้ำชนิดเดียวที่สามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำ เพื่อทดแทนการขาดน้ำหรือใช้แทนเลือดมนุษย์ในกรณีที่เกิดปริมาณเลือดลดลง

คุณสมบัติของน้ำมะพร้าวยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ถ้าเราดื่มน้ำมะพร้าวเข้าไปในระยะเวลา 5 นาที จะให้พลังงานจากกลูโคส และเป็นพลังงานที่เพียงพอต่อร่างกายในการที่จะทำให้เซลล์ต่างๆภายในร่างกายเกิดความแข็งแรง และมีคุณสมบัติในการเยียวยารักษา และซ่อมแซมเซลล์ที่ไม่สะอาดและไม่สมบูรณ์

นิตยสาร สุภาพดี ประจำเดือน พฤศจิกายน 51

5 อาหารล้างสารพิษ



5 อาหารล้างพิษ

ตำลึง
จากผักข้างรั้ว หาง่าย ราคาถูก ซึ่งในวัยเด็กหลายๆท่านคงเคยกินต้มจืดตำลึงฝีมือแม่กันมาบ้าง ตำลึงไม่ได้มีเพียงรสชาติหวานอร่อยเพียงอย่างเดียว แต่ตำลึงยังเป็นหนึ่งในสุดยอดผักล้างพิษ ด้วยคุณสมบัติช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้นแล้ว ตำลึงยังมีสารที่ช่วยให้ตับสลายไขมันในร่างกายด้วย

กะหล่ำปลี
หนึ่งในผักที่เราทราบกันดีว่าอุดมด้วยสารต่อต้านมะเร็งและอนุมูลอิสระ (Antioxidant) แต่กะกล่ำปลีไม่ได้มีดีแค่นั้นหรอกครับ มันยังช่วยให้ตับขับฮอร์โมนที่มากเกินไปที่อาจส่งผลต่อความเครียดในร่างกาย แถมยังทำให้ตับผลิตเอนไซม์ออกมากำจัดของเสียที่เราได้รับจากสิ่งแวดล้อมอย่าง ควันบุหรี่ หรือควันรถยนต์ได้อีกด้วย และยังช่วยทำความสะอาดระบบย่อยอาหาร แถมยังรักษาและปกป้องกระเพาะอาหารจากแบคทีเรียและไวรัสต่างๆ

ส้มโอ
ผลไม้ถูกปากในบ้านเรานี่เอง ซึ่งส้มโอนั้นอุดมไปด้วยสารเพกตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ประเภทหนึ่งในเกรปฟรุต สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือดได้ นอกจากนี้เพกตินยังช่วยป้องกันไม่ให้โลหะหนักมาทำอันตรายต่อร่างกาย และเจ้าเกรปฟรุตยังช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งกระเพาะอาหารและมะเร็งตับอ่อน สารต้านอนุมูลอิสระในเกรปฟรุตจะช่วยปกป้องสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกายได้อีกด้วย

กระเทียม
กระเทียมเป็นเครื่องปรุงคู่ครัวในอาหารไทย นอกจากช่วยเพิ่มรสชาติแล้ว สรรพคุณของมันยังมากด้วยประโยชน์ ด้วยคุณสมบัติในการทำความสะอาดร่างกาย คือ กระเทียมจะช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและฆ่าพยาธิในทางเดินอาหาร ฆ่าเชื้อไวรัส และยังทำความสะอาดเลือดและระบบลำไส้ ทำให้เส้นเลือดมีความยืดหยุ่นและลดแรงดันโลหิต นอกจากนี้กระเทียมยังต่อต้านการเกิดมะเร็งและทำให้ระบบทางเดินหายใจดีขึ้นอีกด้วย แต่ไม่ควรกินมากเกินไปนะครับ เพราะคนข้างๆ คุณจะทนกลิ่นแรงๆ ของมันจากปากคุณไม่ไหวเอา

บลูเบอร์รี
หนึ่งในสุดยอดอาหารรักษาโรค เพราะเป็นผลไม้ที่มีค่าแอนติออกซิแดนต์สูงมากชนิดหนึ่ง เนื่องจากในบลูเบอร์รีมีสารแอสไพรินตามธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดการระคายเคือง สารในบลูเบอร์รีสามารถเข้าไปขัดขวางแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ส่งผลให้ลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ


...มาจาก...นานาสาระน่ารู้...


วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2555


***อาหารช่วยแก้ข้ออักเสบ***

ในปัจจุบันนี้ คนส่วนใหญ่หันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น และหลายคนคงมีอาการปวด ตามข้อเวลาออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาประเภทที่ต้องกระโดด หรือวิ่งมากๆ เป็นเวลานาน และอาจรู้สึกปวดตามข้อ เวลามีอากาศเย็นขึ้นเช่น ในฤดูหนาว บุคคลประเภทนี้ มีความเป็นไปได้สูง ที่จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่เป็นโรคข้ออักเสบ

โรคข้ออักเสบ (Arhritis) เป็นชื่อเรียกโดยรวมของโรคกลุ่มนี้ ซึ่งแยกออกมาได้กว่า 200 ชนิ
ดที่พบบ่อยมีอยู่ สองชนิด คือ โรคข้อเสื่อมหรือข้ออักเสบเรื้อรัง (Osteoarthritis) และโรคข้ออักเสบรูมาดอยด์ หรือปวดข้อรูมาดอยด์ (The Rumatoid arthritis) ทั้ง 2 ชนิด มีสาเหตุของโรคต่างกันคือ

โรคข้อเสื่อมนั้น เกิดจากความทรุดโทรมของกระดูกอ่อน ที่หุ้มข้อกระดูกค่อยๆ หายไป ทำให้ข้อกระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหว จนเกิดอาการข้อยึด ส่งผลให้ปวดบริเวณข้อ โดยเฉพาะเวลาอากาศเย็น ส่วนโรคข้อักเสบรูมาดอยด์ ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สาเหตุที่พบบ่อยคือ เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ เกิดการทำลายข้อต่อกระดูกของตนเอง และโรคนี่ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะช่วยอายุระหว่าง 22-55 ปี และเพศหญิงมีแนวโน้ม ที่จะเป็นโรคนี่ได้มากกว่า เพศชายถึง 3 เท่า ทั้งยังเป็นโรคเรื้อรัง ที่มีอาการเป็นๆ หายๆ ไปตลอด แต่ในผู้ป่วยบ้างชนิดก็เป็นไปได้เช่นกัน

ส่วนผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคข้ออักเสบนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่มีน้ำหนักตัว มากกว่าเกณฑ์ปกติ หรือแม้แต่นักกีฬาที่มีร่างกายแข็งแรง ก็มีสิทธิ์เป็นได้นักกรีฑา นักวิ่ง นักกระโดดสูง ล้วนอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เพราะจำเป็นต้องใช้ข้อต่อต่างๆ โดยเฉพาะที่หัวเข่า และข้อเท้ามากเป็นพิเศษ ในการวิ่งหรือกระโดด ทำให้เกิดแรงกดที่ข้อกระดูกเหมือนคนที่มีน้ำหนักมากเช่นกัน

สำหรับอาหารที่เหมาะสมกับผู้ป่วยโรคนี้ ส่วนใหญ่แล้วแนะนำ ให้บริโภคอาหารลักษณะเดียวกับ ผู้ควบคุมน้ำหนัก เป็น อาหารไขมันต่ำ และเน้นให้กินผัก ผลไม้เป็นหลัก เพราะคนอ้วน หรือคนที่ป่วยเป็นโรคข้ออักเสบ แพทย์แนะนำให้พยายามควบคุมน้ำหนัก กับการรักษาโรคด้วยยา โดยเน้นไปที่อาหารกลุ่มธัญพืชที่มีการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง แป้งไม่ขัดขาว และผักใบเขียวต่างๆ ที่เป็นแหล่งเบต้า-แคโลทีน แคลเซียม โดเลต เหล็ก วิตามินซี ควรกินให้ได้ทุกวัน วันละนิดก็ได้ แต่ควรให้รับสม่ำเสมอ

นอกจากอาหารควบคุมน้ำหนักต่างๆ แล้ว ผู้ป่วยโรคนี้ ควรบริโภคปลาที่มีน้ำมันปลาด้วย เพราะมีหลักฐานว่า กรดไขมันโอเมก้า-3 ที่อยู่ในกฎไขมันไม่อิ่มตัวในปลา มีคุณสมบัติยับยั้งการอักเสบของข้อกระดูก จึงแนะนำให้บริโภคเฉลี่ย 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรืออาจกินในรูปของแคปซูลน้ำมัน ปลาแต่ต้องกินตามคำแนะนำบนฉลาก ไม่ควรกินเกินกว่าที่กำหนดไว้ นอกจากน้ำมันปลาแล้ว น้ำมันจากดอกอีฟนิ่งพริมโรส ก็มีคุณสมบัติช่วยลดการอักเสบได้เช่นกัน ก่อนกินควรปรึกษาแพทย์ก่อนว่า สามารถกินได้หรือไม่ สำหรับอาหารที่ควรพิจารณาเข้าไว้เป็นประจำ ก็คือ

ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า-3 มากเช่น ปลาแชลมอน ปลาซาดีนปลากระบอก ปลาทู ปลาดุก ปลาช่อนเป็นต้น โดยเฉพาะผู้เป็นโรคอักเสบรูมาดอยด์

ธัญพืชที่ไม่ขัดสีมากนัก เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮสวีด จมูกข้าวสารี ถั่วต่างๆ สำหรับถั่ว ไม่ควรกินมากเพราะมีแคลอรีสูง

ผักผลไม้ เช่นผักใบเขียวต่างๆ กล้วยที่เป็นแหล่งโปรแตสเซียม และใยอาหารควรกินอย่างน้อยให้ได้ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ แม้กระทั่ง ขิงก็พบว่ามีสารช่วยลดอาการอักเสบได้เช่นกัน จึงควรกินอย่างน้อย 5 กรัม สัปดาห์ละ 2 ครั้ง รวมไปถึงขึ้นฉ่าย ฝรั่งหรือเซเลอรีนั้น ก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเสื่อม

ผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาดอยต์นั้น แพทย์แนะนำว่า ควรบริโภคถั่วเหลือง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้จากน้ำนมถั่วเหลือง เป็นต้น ส่วนอาหารที่ควรงดไปเลย หรือกินเพียงเล็กน้อย คือ อาหารที่ผ่านกรรมวิธีขัดสีจนขาว และอาหารรสเค็มจัด หรือหวานจัด ลดอาหารที่มีกรดไขมันอิ่มตัว เช่น เนย เนยแข็ง น้ำมันมะพร้าว

ที่มา : yingthai-mag.com
 

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555





บ้านจันเจ้า
วันนี้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องโรคมะเร็งมา จึงอยากนำมาให้อ่านกันเพราะมะเร็งเป็นโรคฮิตที่รักษายากหรือไม่มีทางรักษาเลย แอดมินใกล้ชิดคนเป็นมะเร็งมาหลายๆคนแม้จะให้คีโมคิดว่าจะอยู่รอดแต่สุดท้ายก็อยู่ได้ไม่เกินปี ข้อมูลที่นำมานี้น่าสนใจ.....แอดมินเห็นว่าน่าจะมีมูลจริงอยู่เพราะเวลาที่เราอยู่ในภาวะของฝุ่นละอองที่เป็นพิษเราก็มักจะดื่มโซดาเพื่อใ
ห้เข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างกาย
ก็ลองดูนะไม่มีโทษอะไร

มะนาว+โซดา ฆ่าเซลมะเร็งได้
มะนาว เลือกลูกเขียวๆ ใช้จำนวน 2 ลูก + โซดา 1ขวด

สรรพคุณ สามารถ ฆ่าเซลมะเร็งได้ผลกว่าการ คลีโมฯ 10,000เท่า
อ่านว่า หนึ่งหมื่นเท่า .....

วิธีกิน กินเช้า เย็น หรือ เช้า กลางวัน และ เย็น ก็ได้

การกินมะนาว+โซดา
ไม่มีผลเสียอะไรต่อร่างกายทั้งสิ้น การคลีโมฯ ยังมีผลทำให้เซลดีๆ ของร่างกายต้องตายไปด้วย แต่การใช้ น้ำมะนาว+โซดา จะฆ่าเซลมะเร็งพวกนี้ได้ 100%

ทำไมต้องโซดา?
ใช้ผสมกับน้ำก็ได้ แต่จะได้ผลช้า ถ้าใช้กับ โซดา มันจะเหมือนๆกับเครื่องยนต์ เวลาติดเทอร์โบ จะได้ผลเร็ว และรุนแรงกว่ามาก

วิธีรักษามะเร็ง แบบได้ผล
แถมต้นทุนประหยัดแบบสุดๆแบบนี้ ใครมีคนรู้จักเป็นมะเร็งอยู่ ให้เอาไปบอกบุญกันได้

บุญรักษาทุกๆท่าน

แล้วทำไมถึงไม่มีการเผยแพร่ ออกมา
ตอบแบบง่ายๆ ถ้าแพร่ออกมา อย่างเป็นทางการ บริษัทยาทั่วโลกก็เจ๊งนี่คือความเลวทรามของมนุษย์ที่เอาเปรียบมนุษย์ด้วยกัน วิธีนี้ถูกค้นพบนานแล้ว แต่ถูกปกปิดเอาไว้ ไม่ให้ผลรายงานนี้ออกมาสู่สาธารณะ
ข้อมูลCD 


บทความขัดแย้ง...อ่านแล้วพิจารณาเองด้วย(ถ้าไม่คิดมากถือว่าดื่มอร่อยก็แล้วกัน)
"ดูแฟร์.com" มะนาว+ โซดา ก็ลองดูนะไม่มีโทษอะไร...
วันนี้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องโรคมะเร็งมา จึงอยากนำมาให้อ่านกันเพราะมะเร็งเป็นโรคฮิตที่รักษายากหรือไม่มีทางรักษาเลย แอดมินใกล้ชิดคนเป็นมะเร็งมาหลายๆคนแม้จะให้คีโมคิดว่าจะอยู่รอดแต่สุดท้ายก็อยู่ได้ไม่เกินปี ข้อมูลที่นำมานี้น่าสนใจ.....แอดมินเห็นว่าน่าจะมีมูลจริงอยู่เพราะเวลาที่เราอยู่ในภาวะของฝุ่นละอองที่เป็นพิษเราก็มักจะดื่มโซดาเพื่อให้เข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างกาย
ซึ่งหากได้หรือไม่ได้ผลจริง..ก็ถือว่าได้กินน้ำมะนาวอร่อย ๆ ก็ล่ะกันนะ
ใครกินโซดาล้างผิด มั่ว! ล่างได้ที่ไหน
มะเร็งบางชนิดรักษาไม่ได้ แต่คีโมช่วยให้อายุยืนยาวขึ้นได้ และบางชนิดรักษาได้

สรรพคุณ สามารถ ฆ่าเซลมะเร็งได้ผลกว่าการ คลีโมฯ 10,000เท่า
ไม่เป็นความจริง ไม่มีงานวิจัยยืนยัน คิดเองเออเองทั้งนั้น

การกินมะนาว+โซดา
ไม่มีผลเสียอะไรต่อร่างกายทั้งสิ้น การคลีโมฯ ยังมีผลทำให้่เซลดีๆของร่างกายต้องตายไปด้วย แต่การใช้ น้ำมะนาว+โซดา จะฆ่าเซลมะเร็งพวกนี้ได้ 100%
1. การระบุว่าฆ่าได้100%แปลว่าน้ำมะนาวรักษามะเร็งหาย ยังไม่มีคนหายจากกรณีนี้ โกหก
2. มะนาวโซดา ทำให้ท้องอิ่มง่าย คนที่เป็นมะเร็งที่ต้องการอาหารกลายเป็นมาอิ่มโซดาแทน
3. มะนาวโซดา หลายคนใส่น้ำตาลให้ดื่มง่าย ผมเห็นหลายสูตรที่คนไข้กินไม่ได้ต้องไปปรับใส่น้ำตาลแล้วน้ำตาลพุ่งเพราะเป็นเบาหวานเดิม

ทำไมต้องโซดา?
ใช้ผสมกับน้ำก็ได้ แต่จะได้ผลช้า ถ้าใช้กับ โซดา มันจะเหมือนๆกับเครื่องยนต์ เวลาติดเทอร์โบ จะได้ผลเร็ว และรุนแรงกว่ามาก
มั่ว โซดาลงกระเพาะอย่างมากก็ทำให้เป็นกรดเพิ่มขึ้นหน่อยนึง อธิบายมาสิว่าเกี่ยวกันยังไง
 
วิธีรักษามะเร็ง แบบได้ผล
แถมต้นทุนประหยัดแบบสุดๆแบบนี้ ใครมีคนรู้จักเป็นมะเร็งอยู่ ให้เอาไปบอกบุญกันได้
ไม่ได้ผลครับ ต้นทุนประหยัดก็แค่ราคา แต่ว่าไปเสียประโยชน์จากด้านการกินอาหารได้ลดลง ความหวังที่ไม่จริง และยังเป็นบทความเป่าหูว่าคีโมอันตรายเกินความจริง 
บุญรักษาทุกๆท่าน
คนที่แชร์โดยรู้เท่าไม่ทัน รีบลบก่อนจะเป็นบาปครับ บุญรักษาทุกๆท่านครับ

แล้วทำไมถึงไม่มีการเผยแพร่ ออกมา
ตอบแบบง่ายๆ ถ้าแพร่ออกมา อย่างเป็นทางการ บริษัทยาทั่วโลกก็เจ๊งนี่คือความเลวทรามของมนุษย์ที่เอาเปรียบมนุษย์ด้วยกัน วิธีนี้ถูกค้นพบนานแล้ว แต่ถูกปกปิดเอาไว้ ไม่ให้ผลรายงานนี้ออกมาสู่สาธารณะ
มั่ว นี่คือความเลวทรามของมนุษย์ที่พร้อมจะแชร์เรื่องโกหกและเรื่องใส่ร้ายคนอื่นให้ตนดูดี ไม่ยอมตรวจสอบ เพียงเพื่อเอาแชร์ หรือเอาไว้แปะเว็บขายสมุนไพรของตน
 


***หลากหลายประโยชน์ของ ไข่ ***

"ไข่" เป็นอาหารที่สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

ไข่มีสารอาหารหลายชนิด ไข่ขาวมีโปรตีนสูง มีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกาย ส่วนไข่แดงก็มีสารอาหารหลายชนิด ทั้งโปรตีน ไขมัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไขมันไม่อิ่มตัว จึงช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจขาดเลือด ไข่มีวิตามินแทบทุกชนิด ยกเว้นวิตามินซี

นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุสูง เช่น กรดโฟลิก ธาตุเหล็ก ช่วยป้องกันโลหิตจาง และมีคุณค่าเทียบเท่าธาตุเหล็กในเนื้อสัตว์แต่เคี้ยวและย่อยง่ายกว่า นอกจากนี้ยังมีโคลีนซึ่งช่วยเสริมสร้างความจำ ช่วยให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี จึงควรส่งเสริมให้เด็กรับประทานไข่ทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 ฟอง

การทำอาหารจากไข่ให้เด็กรับประทานต้องระวังเรื่องเชื้อโรคที่มักปนเปื้อนมากับไข่คือ ซาลโมเนลลา ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย โดยเชื้อนี้อาจปนเปื้อนมา 2 ทางคือ แม่ไก่ป่วยติดเชื้อแล้วถ่ายเชื้อไปฝังในไข่แดง และเปลือกไข่มีเลือดหรืออุจจาระปนเปื้อนขณะเก็บไข่

การเลือกไข่จึงควรเลือกฟองที่เปลือกผิวสะอาด หรือทำความสะอาดเปลือกไข่ก่อนเก็บทุกครั้ง ควรเก็บไข่ไว้ในตู้เย็น เนื่องจากเชื้อซาลโมเนลลาเจริญเติบโตได้ดีในอุณหภูมิห้อง แต่ไม่ค่อยเจริญเติบโตในที่เย็น สามารถเก็บไข่ได้นานถึง 3 สัปดาห์โดยไม่เสีย เมื่อนำมาปรุงอาหารควรปรุงสุกทุกครั้งเพื่อทำลายเชื้อโรค หลีกเลี่ยงการรับประทานไข่ดิบหรือไข่ลวก เพราะไม่สามารถทำลายเชื้อโรคได้หมด

แม้ว่าไข่จะมีคุณค่าและสารอาหารหลากหลาย แต่ก็มีโคเลสเตอรอล ไข่ฟองเล็กมีโคเลสเตอรอลสูงกว่าฟองใหญ่เมื่อเทียบในปริมาณเท่ากัน จึงควรเลือกรับประทานไข่ที่มีขนาดใหญ่ เช่น ไข่เป็ด ไข่ไก่ มากกว่าไข่ฟองเล็ก เช่น ไข่นกกระทา

ไข่สามารถนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ สลัดไข่ ยำไข่ ซึ่งมีปริมาณไขมันน้อยกว่าไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ลูกเขย ดังนั้น เมนูไข่ที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ขนมปัง ไข่ดาว พร้อมเบคอน ไส้กรอก เพราะมีปริมาณไขมันและแคลอรีสูง เกิดผลเสียต่อสุขภาพ

ที่มา : สสส.

***อาหารสุดยอด ยอดมะพร้าว***

ยอดอ่อนของมะพร้าวเป็นของที่หายาก และมีคุณค่ามากเพราะการจะกินได้ต้องปีนไปตัดและเอาแกนกลางสีขาวบนยอดมากินซึ่งมะพร้าว 1 ต้น มียอด 1 ยอดเท่านั้น

เรามักนำยอดมะพร้าวมาทำอาหารหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นผัด แกง ก็มีความหวานกรอบน่ากินทั้งสิ้น ยอดมะพร้าวกินได้แบบไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะยอดมะพร้าวอ่อนให้ไขมันและพลังงานน้อย

อย่างไรก็ตามยอดมะพร้าวนั้นมีปริมาณฟอสฟอรัส และแคลเซียมอยู่พอสมควร ซึ่งแร่ธาตุทั้งสองชนิดนี้จะช่วยบำรุงกระดูก และเสริมสุขภาพฟันได้เป็นอย่างดี

หากกินยอดมะพร้าวอ่อนเป็นประจำจะช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุน ป้องกันฟันผุ และเหมาะสำหรับเด็กและวัยชราที่ต้องการความแข็งแรงของกระดูกอย่างมาก

ที่มา : 9bkk.com


วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555



***ลิ้นสะอาด กลิ่นปากสดชื่น***

หากท่านต้องการให้ลมปากสะอาด ก็ไม่ควรมองข้ามถึงการทำความสะอาดลิ้น!!

เนื่องจากลิ้นของเรามีผิวที่ไม่เรียบ แต่ขรุขระถ้าเปรียบไปแล้วก็เหมือนกับพรมหนาๆ ที่ถักด้วยเส้นใยผ้า มีซอกเล็กซอกน้อยเต็มไปหมด ดังนั้นลิ้นจึงเป็นที่กักเศษอาหารอย่างดีที่สุด เหมาะที่สุดที่จะให้แบคทีเรียที่ไม่ต้องการออกซิเจนในการเจริญเติบโตอาศัยอยู่ แบคทีเรียเหล่านี้ปล่อยสารพิษที่ทำอันตรายต่อเหงือกและฟั
นแล้ว ยังก่อให้เกิดก๊าซซัลเฟอร์มีกลิ่นเหม็นเน่า

จากการวิจัยพบว่าแบคทีเรียที่มีผลต่อกลิ่นปากมากๆ มักจะอยู่ตามโคนลิ้นมากกว่าที่ฟันและเหงือก ก็เป็นคำตอบที่ดีสำหรับหลายท่านที่สงสัยว่า

-ฟันผุก็อุดแล้ว

-เหงือกก็ไม่อักเสบ ขูดหินปูนทุก 6 เดือนตามหมอนัด

-แปรงฟันหลังอาหารทุกวัน

-เสียเงินไปก็มากกับการใช้น้ำยาบ้วนปากหลากหลายชนิดแต่ก็ยังไม่วาย รู้สึกมีกลิ่นปาก ลมหายใจที่ไม่สะอาด....

-ลองมาสังเกตลิ้นของท่านดูว่ามีคราบอาหารจับหรือไม่ ?

-ท่านเคยทำความสะอาดลิ้นหรือเปล่า ?

การทำความสะอาดลิ้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาสุขภาพในช่องปาก นอกจากการแปรงฟัน และใช้ Dental Floss เพื่อทำความสะอาดซี่ฟัน

เราจะทำความสะอาดลิ้นอย่างไร ?

เดี๋ยวนี้มีอุปกรณ์ทำความสะอาดลิ้นทำจาก plastic เป็นรูปตัว U วิธีใช้ให้แลบลิ้นออกมาให้สุด ใช้ไม้ขูดลิ้น ขูดจากโคนลิ้นมาด้านหน้า ทำสัก 3-4 ครั้ง จะเห็นคราบอาหารติดออกมา เราจะทำวันละ 2 ครั้งต่อวัน ตอนเช้าตื่นนอน และหลังอาหารเย็นก่อนนอน

การทำความสะอาดลิ้นอย่างสม่ำเสมอ นอกจากจะช่วยลดแบคทีเรียที่ทำให้เกิดกลิ่นแล้ว ยังมีผลทำให้ลิ้นสามารถรับรสได้ดีขึ้น (วารสารทันตแพทย์สมาคมสหรัฐอเมริกา ธันวาคม 1999) และก็มีข้อมูลที่น่าสนใจในวงการแพทย์ว่ามีความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญว่า แบคทีเรียในช่องปากมีโอกาสทำให้ติดเชื้อและเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจได้ และจากวารสารของสมาคมทันตแพทย์สหรัฐอเมริกาเดือนมีนาคม 2001 ก็ยืนยันว่าก๊าซที่เกิดจากแบคทีเรียในช่องปากมีโอกาสเกิดอันตรายต่อเยื่อหุ้มปอดเช่นกัน

การขจัดแบคทีเรียในช่องปากนอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพในช่องปาก ทำให้ลดกลิ่นแล้ว ยังมีผลต่อสุขภาพร่างกายส่วนอื่นด้วย ไม่เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการแปรงฟัน ใช้ Dental Floss หรือน้ำยาบ้วนปาก

.... อย่าลืมทำความสะอาดลิ้นด้วยนะครับ...

ที่มา : HealthToday




***ผู้ป่วยเบาหวาน ควรตรวจอะไรเพิ่มเติม***

1. การตรวจฮีโมโกลบิน เอวันซี ( HbAlc) เป็นฮีโมโกลบินที่มีกลูโคสไปจับอยู่ ปกติจะมีค่าประมาณ 4.3-5.8 % ของฮีโมโกลบินทั้งหมด ค่าจะสูงขึ้นในผู้ป่วยเบาหวานที่ไม่ได้รับการรักษาที่ดี เนื่องจากมีกลูโคสจำนวนมากได้จับกับฮีโมโกลบิน สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องอดอาหาร ค่าที่ได้ขึ้นกับความสูงของกลูโคสในเลือดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา

2. การตรวจ Micro Albumin ในปัสสาวะ คือ กา
รตรวจการทำงานของไต Micro Albumin เป็นโปรตีน ซึ่งในคนปกติจะทำหน้าที่กรองโปรตีนเก็บไว้ แต่ในผู้ป่วยเบาหวานที่เกิดอาการแทรกซ้อนที่ไตจะไม่สามารถกรองโปรตีนไว้ได้หมด หากพบโปรตีนในปัสสาวะจึงบอกถึงความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของไต และถ้าได้รับการดูแลที่ไม่ดีพอก็จะทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังต่อไปได้ หากได้รับการดูแลที่ดีจากแพทย์ จะสามารถสกัดกั้นการเกิดไตวายเรื้อรังชนิดถาวรได้

3. ABI ย่อมาจาก Ankle Brachial Index คือการตรวจวัดความดันโลหิตเปรียบเทียบกันระหว่างแขน และข้อเท้า เพื่อตรวจดูภาวะโรคหลอดเลือดแดงตีบตัน ซึ่งเป็นอาการแทรกซ้อนอย่างหนึ่งของโรคเบาหวาน เกิดเนื่องจากการควบคุมระดับน้ำตาลไม่ดี ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานาน น้ำตาลจึงไปจับตัวกันทำให้ผนังหลอดเลือดผิดปกติไป รวมทั้งภาวะความดันโลหิตสูง และการสูบบุหรี่ อาการที่เป็นการเตือนว่าท่านอาจจะเป็นโรคหลอดเลือดแดงตีบตัน ได้แก่

-รู้สึกเย็น หรือมีอาการซีดผิดปกติที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง
-มีอาการชาผิดปกติที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง
-เมื่อเดินอย่างต่อเนื่องประมาณ 1-2 ป้ายรถเมล์ จะมีอาการปวดกล้ามเนื้อที่ขามากจนต้องหยุดพักสักระยะ จึงจะสามารถเดินต่อไปได้
-ปวดขาเวลาเดินเร็ว ๆ หรือเดินขึ้นทางลาดชัน หรือแม้แต่เดินทางราบ
-มีแผลเรื้อรังที่บริเวณเท้
-ผิวหนังที่บริเวณขาข้างใดข้างหนึ่งบางผิดปกติ และอาจมีขนร่วงด้วย
-ปวดปลายนิ้วเท้าในเวลากลางคืน บางครั้งปวดจนต้องตื่นนอน ค่าปกติต้องไม่ต่ำกว่า 0.9 ถ้าต่ำกว่า 0.9 แสดงว่ามีโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดแดงตีบตันที่ปลายแขน ขาได้ รวมทั้งมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบตันเพิ่มขึ้นด้วย

ที่มา : bangkokhealth.com
 


***เปลือกส้ม เรียบง่ายแต่ไม่ธรรมดา***

ส้ม .... ทุกคนอาจจะรู้จักผลไม้ชนิดนี้กันดีอยู่แล้ว เพราะ ส้มเป็นผลไม้ที่หาซื้อรับประทานได้ง่ายและมีให้รับประทานตลอดทั้งปี ปกติแล้วเรารับประทานแค่เพียงเนื้อส้มข้างในแล้วก็ทิ้งเปลือกส้ม แต่ ! หารู้ไม่ว่าเปลือกส้มที่เราทิ้งกันมีประโยชน์นานับประการ

ถ้าการทำงานในทุกๆ วันทำให้กำลังรู้สึกเครียดหรือเมื่อยล้าและอยากหาสิ่งที่ช่วยผ่อนคลาย เปลือกส้ม
ช่วยท่านได้..โดยการนำเปลือกส้มมาคั้นหรือบีบเอาน้ำมันหอมระเหยที่มีอยู่ในเปลือกส้ม นำมาดมกลิ่น หรือใช้นวดตามร่างกาย ซึ่งน้ำมันหอมระเหยจะช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนและช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้

ประโยชน์ของเปลือกส้มยังไม่หมดเพียงเท่านี้!!! ...เพราะเปลือกส้มยังมีคุณสมบัติช่วยทำให้สิวที่รังควานใบหน้าของสาว ๆ ยุบสลายได้อย่างดีทีเดียวเพียงแค่นำเปลือกส้มที่ไม่ใช้ไปล้างน้ำสะอาด บดให้ละเอียดๆ แล้วผสมกับน้ำเพียงเล็กน้อยนำไปแต้มสิว ทิ้งไว้สัก 20 -30 นาที จึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น เพียงเท่านี้สิวที่ผุดอยู่บนใบหน้าก็จะค่อย ๆ ยุบหายไป ใบหน้าของคุณก็จะกลับมาใสปิ๊งเหมือนเดิมค่ะ

หน้าหนาวนี้สำหรับสาวๆหรือชายหนุ่มที่มีลักษณะผิวดังต่อไปนี้ตั้งใจฟังให้ดีๆ เพราะจะมีเคล็ดที่ไม่ลับมากฝากกัน!! เริ่มต้นกันด้วยใครที่มีผิวที่แห้ง แตก หรือลอกเป็นขุย ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงินไปซื้อครีมทาผิว แพงๆกันอันต่อไปแล้วค่ะ เพียงแค่นำเปลือกส้มมาบดให้ละเอียดจึงนำไปใช้แทนสบู่แล้วตามด้วยการอาบน้ำสะอาดเป็นเสร็จพิธี เพียงแค่นี้ก็สามารถดูแลผิวด้วยสูตรสำเร็จที่เราทำเองได้ที่บ้านโดยไม่ต้องเสียสตางค์แพงๆไปทำ สปาตามร้านให้ยุ่งยากอีกต่อไป

รู้ไว้ใช่ว่า!!! ส้มยังเป็นยาสมุนไพรบำรุงร่างกายได้ชั้นเยี่ยมโดยที่ไม่ต้องหาให้มันยุ่งยาก เพียงแค่เรามีผลส้มสด 100 กรัมก็ จะมีสารเบต้าแคโรทีน ถึง82 ไมโครกรัม และวิตามินซี 42 มิลลิกรัมที่เพียงพอต่อร่างกายคนเราต้องการต่อวัน และสารเหล่านี้ก็ช่วยรักษาโรคเลือดออกตามไรฟันได้ด้วยคะ ส่วนของเปลือกผลแห้งจะมีน้ำมันหอมระเหย ซึ่งประกอบด้วย ซิตรัล ( CITRAL ) เจอรานิออล ( GERANIOL ) และ ไลนาโลออล ( LINALOOL ) น้ำมันหอมระเหยเหล่านี้จะสามารถสกัดออกมาเพื่อใช้แต่งกลิ่นยาและมีฤทธิ์ขับลม ส่วนเปลือก ผลที่แห้งเมื่อนำมาจุดไฟจะมีกลิ่นหอมและสามารถไล่ยุงได้ดีอีกด้วย

นอกจากนี้การศึกษาทางการแพทย์ ของทีมวิจัยของเภสัชกรในอังกฤษ พบว่าสารในเปลือกส้มมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะในเปลือกส้มเขียวหวานจะมีฤทธิ์ช่วยต้านทานมะเร็งบางอย่างได้ โดยสาร “ซาลเวสตรอล คิว 40” ใน เปลือกส้มเขียว-หวาน สามารถทำลายเซลล์มะเร็งที่มีส่วนประกอบของเอนไซม์ “พี 450 ซีวายพี 1 บี 1” ลงได้ ซึ่งการค้นพบ ในครั้งนี้อาจนำไปสู่แนวทางใหม่ในการบำบัดโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งทรวงอก ปอด ต่อมลูกหมาก และรังไข่ ได้ต่อไปในอนาคต

ดร.ฮูน แอล.ตัน ผู้เชี่ยวชาญเคมีด้านยาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า สารซาลเวสตรอล อาจช่วยให้เกิดกลไกอย่างใหม่ในการใช้โภชนาบำบัดต้านมะเร็ง แต่อย่างไรก็ตาม อาหารสมัยใหม่นั้นได้ทำลายซาลเวสตรอลให้หมดลงไป เพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่กินเปลือกผลไม้กันอีกต่อไปแล้ว และนี่!!!จึงอาจจะเป็นปัจจัยสำคัญที่พบว่ามีมะเร็งบางอย่างเกิดขึ้นมากในคนเรา

ตามสภาพสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันที่มี่ทั้งอากาศเป็นพิษและน้ำเน่าเสีย ทำให้เกิดมลพิษต่างๆอยู่รอบตัวเรามากขึ้นทุกวันและเป็นที่น่ายินดีอีกครั้งหนึ่งของทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยTlemcen ในอัลจีเรีย ได้พบว่าเปลือกส้มเป็นตัวช่วยทำให้สภาพน้ำดีขึ้น ในการศึกษาระดับห้องทดลอง ข้อมูลแสดงให้เห็นว่าเปลือกส้มมีศักยภาพที่จะดึงสีออกจากของเหลวในความเข้มข้นที่หลากหลาย ซึ่งเปลือกส้มมีราคาถูกและมีอยู่มากมาย ซึ่งสามารถลดต้นทุนการบำบัดน้ำเสีย และยังสามารถดึงสารอะไรก็ตามที่เป็นอันตรายที่อยู่ในของเสียออกมาได้

การนำของที่ไม่ใช้แล้วมาปรับเปลี่ยนให้มีค่ามากขึ้น ทำให้สิ่งของเหล่านั้นมีค่าและประโยชน์ เช่นเดียวกับเปลือกส้มที่สามารถนำกลับมาใช้ประโยชน์อีกหลายด้านและประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้โดยที่ไม่ต้องเสียเงินมากมายในการซื้อของมาบำรุงร่างกายหรือในการดำรงชีวิต เพียงแค่นี้เราก็สามารถประหยัดเงินในกระเป๋าได้

ที่มา : thaihealth.or.th 

วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555





อาหารห้ามกินเมื่อป่วย 

1.ท้องเสีย เมื่อมีอาการท้องเสียห้ามกินอาหาร ที่มีรสจัดๆ กาแฟ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมทุกชนิด อาหารรสเปรี้ยว ของหมักดอง กะทิ เหล้า เบียร์

2.โรคกระเพราะ ห้ามดื่มเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอลล์ ชาแก่ๆ กาแฟ ของเผ็ด ของทอด ของมันเพราะอาหารเหล่านี้ให้เกิดความร้อนสะสมทำให้โรคหายยาก ทางที่ดีควรรับประทานแต่ปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและทานอาหารที่เป็นอาหารย่อยง่ายและดื่มนมมากๆ

3.ห้ามกินของเย็นๆ ของมัน อาหารที่ย่อยยาก แนะนำให้กินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เช่น น้ำขิง

4.อาการนอนไม่หลับ หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มทุกประเภทที่มีสาระนิโคตินเพราะมีฤทธิ์กระตุ้นประสาททำให้ไม่ง่วงนอนหรือนอนไม่หลับ เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม รวมถึงสูบบุหรี่

5.ลมพิษ ผิวหนังอักเสบ หรือโรคหอบหืด ควรที่จะสังเกตุว่าเราทานอะไรเข้าไปถึงแพ้ หลีกเลี่ยงเนื้อแพะ เนื้อปลา กุ้ง หอย ปู ไข่ นม และอาหารรสเผ็ด เพราะจะไปกระตุ้นให้ผิวหนังกำเริบ บางคนมีอาการแพ้เนื่องจากดื่มนมเข้าไป